คปส.เปิดเวทีใหญ่ ประชุมภาคสังคม หาฉันทามติปฏิรูปประเทศ
สมัชชาปฎิรูปเปิดเวทีใหญ่ 24-26 มี.ค.นี้ ที่เมืองทองธานี “หมอประเวศ” เผยเป็นการประชุมสุดยอดทางภาคสังคม ผนึก 5 พลังชอบธรรม “ศีลธรรม เมตตาธรรม พลังสังคม การติดอาวุธทางปัญญา และกระบวนการสันติวิธี” หาแนวทางแก้ทุกข์ของชาติอย่างเป็นรูปธรรม
นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป(คสป.) แถลงข่าวจัดงาน “สมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 : สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” ระหว่างวัน ที่ 24-26 มี.ค.ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี ว่า งานนี้ถือเป็นการประชุมสุด ยอดทางสังคม (social summit) ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยฉันทามติที่จะได้จากการสมัชชาครั้งนี้จะมีความสำคัญของประเทศ ที่จะเป็นการนำเสนอแนวทางเพื่อแก้ทุกข์ของชาติอย่างที่ไม่มีรัฐบาลใด ทั้งในอดีต ปัจจุบันเคยทำก่อน เพราะเกิดจากระบบและโครงสร้างที่ฝังลึกในสังคม ที่คนส่วนน้อยเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่คนส่วนน้อยเอาเปรียบ เพราะระบบและโครงสร้าง ซึ่งยากจะแก้ไข จึงไม่มีรัฐบาลใดๆ แก้ไขในรอบ 100 ปี
“กระ บวนการสัมชชาปฏิรูป ถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อน โดย จะมีกระบวนการที่จะแก้ไขเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาก็พูดกันอย่างผิวเผิน แต่กระบวนการครั้งนี้ จะเจาะไปที่โครงสร้างเพื่อจะแก้ไขที่ถือเป็นอริยสัจ 4 ทางสังคม โดยเฉพาะกระบวนการของมรรค ที่การจัดประชุมสมัชชาครั้งนี้ ถือเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้กระบวนการนี้เกิดขึ้น เพราะสังคมไทยไม่เคยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันมาก่อน แต่เมื่อใดที่สังคมไทยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน จะมีพลังเป็นเหมือนแสงเลเซอร์ร่วมกัน ดังนั้นมติที่จะออกมาจากการสมัชชาครั้งนี้จึงจะถือเป็น ยุทธการแสงเลเซอร์ทางสังคม เพราะเป็นการผนึกกำลัง 5 อย่าง คือ พลังทางศีลธรรม พลังเมตตาธรรม พลังทางสังคม การติดอาวุธทางปัญญา และกระบวนการสันติวิธี ทั้งหมดนี้จึงเป็นพลังที่ชอบธรรม” นพ.ประเวศ กล่าว
นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า การจัดประชุมสมัชชาครั้งนี้ จะมีการพิจารณาถึงแนวทางการสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำใน 4 เรื่อง 8 ประเด็น คือ ข้อ เสนอเรื่องการกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นที่เห็นว่า ประเทศไทยมีการรวมศูนย์อำนาจมานาน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปฏิรูปให้ชุมชนจัดการตัวเองได้ โดยในเวทีดังกล่าวจะมีการเสนอให้เพิ่มจากงบประมาณลงท้องถิ่นจาก 26 % เป็น 35 % ตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนเรื่องที่สอง ข้อเสนอเรื่องปฏิรูปการจัดการทรัพยากร ทั้งเรื่องที่ดิน ทรัพยากรชายฝั่งและการคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน ข้อเสนอเรื่องการสร้างหลักประกัน คนชราและผู้พิการที่จะมีการเสนอให้นำเงินจากกองสลากมาเป็น กองทุนดูแลคนพิการจำนวน 12,700 ล้านบาท และจะต้องให้มีการบริหารกอง ทุนอย่างอิสระเหมือนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ ข้อเสนอเรื่องการใช้ศิลปะเยียวยา สังคม
น.พ.ประเวศ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่รัฐบาลประกาศจะยุบสภาในเร็วนี้ ก็คงไม่กระทบต่อการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูป เพราะเราได้เตรียมการเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว โดยการแต่งตั้ง คปส.ได้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีอายุ 3 ปี ดังนั้นหากรัฐบาลนี้เปลี่ยน คปส.ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย การที่ทำงานกับเครือข่ายในพื้นที่ ชุมชน ท้องถิ่น ก็คงจะทำต่อไป รัฐบาลเปลี่ยนเราก็จะทำงานปฏิรูปต่อ โดยหลังการสมัชชาครั้งนี้ก็จะนำจะเสนอไปยังรัฐบาลและติดตามการทำงานอย่าง ใกล้ชิด เพราะขณะนี้วิกฤตของประเทศมีทั้งภายนอก ภายในประเทศ โดยเฉพาะวิกฤตอาหารที่แพงขึ้นกว่า 30% ดังนั้นการปฏิรูปจะต้องปฏิรูปที่ดินที่เป็นฐานทรัพยากร
นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงระเบียบวาระ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรว่า ความจริงองค์กรภาคประชาชนทั่วทุกภูมิภาคได้ศึกษา รวบรวม และสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้าที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป แต่ยังไม่มีพลังเพียงพอที่จะได้รับการขานรับจากรัฐและสังคมในวงกว้าง และหลังจากมีคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปก็ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นหลายครั้ง ซึ่งมีหลายเรื่องที่ได้ยกร่างและเตรียมนำเสนอไว้แล้ว เช่น กรณีการจัดการน้ำ กรณีเหมืองแร่ แต่เกรงว่าด้วยระยะเวลาจำกัด จะมีวาระมากเกินไป จึงเก็บไว้เสนอในสมัชชาฯ ครั้งต่อไป สำหรับครั้ง ที่ 1 นี้ได้เสนอให้พิจารณารวม 3 ระเบียบวาระ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การปฏิรูปการจัดสรรที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน การปฏิรูปโครงสร้างการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนกรณีที่ดินและทรัพยากร
สำหรับ ข้อเสนอให้มีการปฏิรูปการจัดสรรที่ดินฯ นางเรวดีอธิบายว่า สาเหตุเกิดจากการกระจุกตัวของ ที่ดิน ประชาชนจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร บางคนตั้งบ้านเรือนและใช้เป็นที่ทำกินมายาวนาน แต่ก็ถูกหน่วยงานรัฐกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่าหรือที่ดินของรัฐ แต่สำหรับคนส่วนน้อยของสังคมที่มีฐานะเศรษฐกิจดีหรือเป็นนักธุรกิจ กลับกลายเป็นผู้ถือครองที่ดินขนาดใหญ่มาก บางรายปล่อยให้ที่ดินรกร่างว่างเปล่า ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ดังนั้นหากคิดจะสร้างความเป็นธรรม ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินใหม่ กล่าวคือที่ผ่านมามีแต่กรรมสิทธิ์ของรัฐและของเอกชนเท่านั้น ต่อไปต้องให้ความสำคัญกับสิทธิชุมชนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
ขณะ เดียวกันก็ต้องมีมาตรการ ต่างๆ ออกมา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้เกิดการกระจายที่ดินอย่างแท้จริง โดยการใช้มาตรการด้านภาษี การตั้งธนาคารที่ดิน การออกโฉนดชุมชน และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หากทำได้สังคมก็จะตั้งหลักได้ ความเหลื่อมล้ำจะลดลง ทำให้คนส่วนใหญ่มีที่ยืน มีความมั่นคงทางอาหาร มีอาชีพ และลดความขัดแย้งต่างๆ ลงได้
นางเรวดี กล่าวถึงการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่า ที่ผ่านมาคนทั่วไปอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่จากประสบการณ์ของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรง และจากการทำงานขององค์กรภาคประชาชนที่ผ่านมาพบว่า เป็นปัญหาที่เข้าขั้นวิกฤตแล้ว ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากนโยบาย มาตรการ และแผนพัฒนาต่างๆ ของภาครัฐนั่นเอง ที่มุ่งพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเล ภาคใต้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ทำให้กระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน พื้นที่ชุ่มน้ำ ชายฝั่ง ประมงพื้นบ้าน การท่องเที่ยว หากไม่เร่งรีบผลักดันแก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตอาจไม่ทันการณ์
ข้อเสนอการปฏิรูปคือ ต้อง ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ ต้องยุติแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ แล้วเริ่มต้นกันใหม่โดยเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนและชุมชนในพื้นที่ รวมทั้งต้องยึดถือเอาพื้นที่ระบบนิเวศน์เป็นตัวตั้ง เป็นฐานในการดำเนินงาน
นาง เรวดีกล่าวอีกว่า กรณีเรื่องการคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนฯ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกประการหนึ่งที่ต้องรีบแก้ไขและเยียวยา เพราะปัจจุบันมีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จากการถูกหน่วยงานของรัฐรวมทั้งภาคธุรกิจดำเนินการฟ้องร้องคดีที่เกี่ยวข้อง กับที่ดินและทรัพยากรจำนวนมาก หากยังติดยึดอยู่กับกฎหมายเดิม ระเบียบเดิม แน่นอนว่าประชาชนที่มีคดีก็ต้องติดคุกไป สังคมก็ไม่สงบสุข ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมต้องยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ได้รับ ผลกระทบอย่างจริงจัง
นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ กรรมการสมัชชาปฏิรูป ในฐานะประธานเครือข่ายผู้ใช้แรงงานเพื่อการปฏิรูป กล่าว ถึงการปฏิรูประบบสวัสดิการว่า ข้อเสนอของเครือข่ายผู้ใช้แรงงานฯ ได้บรรจุในระเบียบวาระ 2 เรื่อง คือ การปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อความเป็นธรรม และ การสร้างระบบหลักประกันในการดำรงชีพเพื่อการชราภาพและระบบสังคมสุขภาวะที่มี ความเสมอภาคและยั่งยืน โดย ระบบประกันสังคมในปัจจุบันมีปัญหาค่อนข้างมากแรงงานไทยกว่ากึ่งหนึ่งขาดหลัก ประกันทางสังคม
จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงาน สถิติแห่งชาติในปี 2553 พบว่าประเทศไทยมีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 38.7ล้านคน โดยมีแรงงานในระบบที่มีหลักประกันคุ้มครอง แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม และภายใต้ระบบสวัสดิการข้าราชการ เพียง 14.6ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 37.7ของแรงงานทั้งหมด ในขณะที่มีแรงงานนอกระบบซึ่งไม่ได้รับความคุ้มครองกว่า 24.1ล้านคน หรือร้อยละ 62.3
“ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักเข้าใจแรงงานในความ หมายที่แคบ เฉพาะที่เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน และหน่วยงานรัฐเท่านั้น ความจริงแล้วแรงงานครอบคลุมมากกว่านั้น คือทุกคนที่มีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี เป็นกำลังแรงงานของประเทศทั้งนั้น ระบบประกันสังคมจึงจำเป็นต้องคุ้มครองทั้งหมด”
นายณรงค์ กล่าวด้วยว่า การบริหารจัดการระบบประกันสังคมในปัจจุบันขาดความเป็นอิสระจากระบบราชการและ การเมือง โดยสำนักงานประกันสังคมยังเป็นหน่วยงานราชการภายใต้กระทรวงแรงงาน ขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากฝ่ายผู้ประกันตนในการดำเนินงานและการตรวจ สอบ และยังขาดความโปร่งใสด้านข้อมูล โดย ในเวทีสมัชชาฯ ครั้งที่ 1 ทางเครือข่ายผู้ใช้แรงงานฯ จะเสนอให้มีการปฏิรูปธรรมาภิบาลของระบบประกันสังคมที่เป็นธรรม ด้วยการเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคมพ.ศ. 2533 ฉบับบูรณาการแรงงานเพื่อให้ปรับปรุงระบบประกันสังคมมีโครงสร้างที่เป็นอิสระ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ระบบประกันสังคมครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพ ทุกอายุ รวมถึงการดูแลผู้ชราภาพอย่างเหมาะสมด้วย เพราะฉะนั้นความ ต้องการจึงมีความจำเป็นนี่คือธงประกันสังคมที่ต้องทำให้ได้
ประธาน เครือข่ายผู้ใช้แรงงานฯ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการสร้างระบบหลักประกันในการดำรงชีพเพื่อการชราภาพฯ นั้น เจตนารมณ์คือต้องการให้มีการออมแห่งชาติ แต่อย่างไรก็ตามหากมีการปฏิรูประบบประกันสังคมให้สามารถครอบคลุมทุกกลุ่ม อาชีพและทุกวัยอย่างแท้จริงได้ ก็ถือเป็นเรื่องเดียวกัน
ขณะที่นาย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กรรมการสมัชชาปฏิรูป ในฐานะประธานเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป กล่าวถึงระเบียบวาระ ศิลปะกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคม ว่า งานด้านศิลปวัฒนธรรมถึงแม้จะมีหน่วยงานหลักอย่างกระทรวงวัฒนธรรมดูแลทั้ง ระบบ แต่ก็ยังมีความล่าช้า ไม่สามารถดูแลทั้งระบบ ทำให้ภาพรวมของศิลปะไม่มีพลังต่อการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคมเท่าที่ควรดัง นั้นการจัดสมัชชาปฏิรูปครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ศิลปินได้เสนอตัวเข้าไป มีส่วนร่วม โดยใช้เครื่องมือคือศิลปะทุกสาขา เพื่อพัฒนาเยียวยาและสร้างสรรค์จิตใจของผู้คนในสังคมให้เป็นรูปธรรม
ประธาน เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูปกล่าวด้วยว่า ข้อเสนอของเครือข่ายศิลปินฯ คืออยากให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง กำหนดแผนและดำเนินการตามแผนการใช้พลังของศิลปะทุกสาขา เพื่อการเยียวยาและกล่อมเกลาจิตใจของผู้คนในสังคม ขอให้สนับสนุนการจัดตั้งสมัชชาศิลปวัฒนธรรมภาคประชาชนในทุกภูมิภาค โดยให้มีกลไกอิสระที่ศิลปินเป็นเจ้าของ มีส่วนในการบริหารจัดการ และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรอื่นๆ
ส่วน การสนับสนุนเรื่องงบประมาณ เสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณสนับสนุนศิลปะภาคประชาชนทุก แขนงอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และให้รัฐบาลออกกฏหมายจัดตั้งกองทุนสนับสนุนศิลปะภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นแหล่งทุนที่มีความชัดเจน และยั่งยืน โดยให้มีผู้แทนจากสมัชชาศิลปวัฒนธรรมภาคประชาชนทุกภูมิภาคมีส่วนร่วมในการ บริหารกองทุนด้วย
“ทางเครือข่ายศิลปิน ได้หารือร่วมกันและมีความเห็นว่า อยาก ให้มีกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมของศิลปินภาคประชาชนเป็นประจำทุกเดือน ทุกจังหวัด ใช้งบประมาณทั้งประเทศแต่ละปีไม่ถึง 200 ล้านบาทด้วยซ้ำ แต่จะมีประโยชน์มาก ทั้งต่อศิลปินที่ได้แสดงผลงานได้อย่างอิสระ ขณะที่ผู้คนในสังคมก็มีความสุขที่ได้สัมผัสคุณค่าและความงดงามของศิลปะ และหาก สามารถผลักดันให้มีสถานีโทรทัศน์เฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรมด้วยแล้ว ประชาชนและสังคมก็จะได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้นมากขึ้น” นายเนาวรัตน์ กล่าว
ขณะที่นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ กรรมการปฏิรูป ในฐานะประธานเครือข่ายคนพิการเพื่อการปฏิรูป กล่าวถึงระเบียบวาระ เรื่อง การสร้างสังคมที่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน ว่า มีความสำคัญมาก หากสังคมยอมรับความเท่าเทียมก็ต้องมองทุกคนอย่างเท่าเทียมกันด้วย ไม่ตกหล่นใคร ต้องให้มีสภาพแวดล้อมที่ทุกคนเข้าถึงได้ อะไรที่เป็นสาธารณะต้องคิดถึงทุกคน แต่ที่ผ่านมากลุ่มประชาชนที่มีความเปราะบาง อาทิ เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ ยังไม่ได้รับความเสมอภาคเท่าที่ควร ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับสังคม เพื่อให้คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน
นายวิริยะกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันกลไกในการแก้ปัญหาและการทำงานของภาครัฐเกี่ยวกับผู้พิการและคนด้อย โอกาส ยังเป็นรูปแบบการสงเคราะห์และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้ผลประโยชน์ตกถึงประชากรกลุ่มดังกล่าวอย่างไม่เต็มที่ และอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
นายวิริยะ กล่าวว่า เครือข่ายคนพิการฯ มีความเห็นร่วมกันและเคยเสนอต่อรัฐบาลมาก่อนหน้านี้แล้ว ว่า หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้อง เร่งปฏิรูประบบการคลังเพื่อสังคม เปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วม ด้วยกลไกที่มีความเป็นอิสระ มีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล โดยเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อให้ปรับสัดส่วนสลากใหม่ และจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากที่ปรับสัดส่วนแล้วเข้ากองทุนพัฒนาคุณภาพ ชีวิตประชากรกลุ่มเปราะบางต่างๆ
“รายได้ของกิจการ สลากเกิดจากความเชื่อของบุคคลซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน เมื่อเป็นเงินของคนจน แต่รัฐบาลกลับนำเข้าคลัง ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง ควรแก้ไขวัตถุประสงค์ใหม่จากการหารายได้เข้ารัฐเป็นการหารายได้ให้สังคม ควรถูกส่งกลับไปพัฒนาสังคม สร้างความมั่นคงและเป็นธรรมทางสังคมให้แก่ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ น่าจะเหมาะสมกว่า โดยจะเสนอให้กรรมการปฏิรูปเข้ามาติดตามการดำเนินการ” นายวิริยะ กล่าว
ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์