ก้าวสู่ปีรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100%
หมวกนิรภัยช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตจริงหรือ?
คำถามนี้มีคำตอบ…โดยจากผลงานวิจัยของศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย(AIT) อาศัยแบบจำลองทางสถิติและการวิเคราะห์ข้อมูลระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บของโรงพยาบาลเครือข่ายทั่วประเทศ พบว่า การสวมหมวกนิรภัยช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตเนื่องจากการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ 43% สำหรับผู้ขับขี่ และ 58% สำหรับผู้นั่งซ้อนท้าย
เมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับคณะทำงานสนับสนุนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในจังหวัดนำร่อง(สอจร.) มูลนิธิไทยโรดส์ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) จัดแถลง “ปีรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100%”
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ รองผู้จัดการ สสส.กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้ปีนี้เป็นปีแรกของทศวรรษความปลอดภัยทางถนน เป็นปีรณรงค์สวมหมวกนิภัย 100%สสส.ร่วมกับมูลนิธิไทยโรดส์ และมหาวิทยาลัยเครือข่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนน (Road Safety Watch) จัดให้มีการสำรวจอัตราการสวมหมวกนิรภัยผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ประจำปี 2553 ช่วงเดือนเม.ย.-ธ.ค.53 จากผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย จำนวน 954,956 คน พบว่าผู้ขับขี่และผู้โดยสารสวมหมวกนิรภัยเฉลี่ย 44%แบ่งเป็นผู้ขี่สวมหมวกนิรภัย 53%และคนซ้อนสวมหมวกนิรภัย 19% และจังหวัดที่มีอัตราการสวมหมวกนิรภัยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต เลย สมุทรปราการ และนนทบุรี ส่วนจังหวัดที่มีอัตราการสวมหมวกนิรภัยต่ำสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เพชรบุรี อ่างทอง พังงา ปัตตานี และนราธิวาส และเหตุผลสำคัญที่ไม่สวมหมวก คือ เดินทางระยะใกล้ ไม่ออกถนนใหญ่ เร่งรีบ ร้อน อึดอัด สกปรก กลัวผมเสียทรง คิดว่าคงไม่เกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ
โดย ดร.สุปรีดา บอกว่า จังหวัดที่มีอัตราการสวมหมวกนิรภัยต่ำสุดก็จะพยายามกระตุ้นให้ความรู้มากขึ้น ส่วนจังหวัดที่มีการก้าวกระโดดในระดับที่มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น ก็จะมีการพิจารณาให้รางวัลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการดำเนินงานต่อไป และที่สำคัญคือเด็กๆ ที่ซ้อนท้ายผู้ขับขี่ จะพบว่าสวมหมวกนิรภัยในอัตราที่ต่ำมากเพียงไม่กี่สิบเปอร์เซ็นต์ โดยจะพบว่าปัญหาควบคู่ของเด็กคือผู้ปกครองจะอ้างว่าไม่มีหมวกนิรภัย ซึ่งก็จะพยายามจะกระตุ้นการตลาดให้มีการผลิตและจำหน่ายให้มากขึ้นในราคาที่เหมาะสม และการรณรงค์ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว โดยจะครบรอบปีในเดือนมกราคมปี 2555 ทาง สสส. มูลนิธิไทยโรดส์จะเริ่มการสำรวจอัตราการสวมหมวกนิรภัยในทุกจังหวัดทั่วประเทศอีกรอบหนึ่งตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เพื่อนำผลมาเปรียบเทียบสถิติในปีที่แล้ว
ส่วนด้านจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีอัตราการสวมหมวกนิรภัยสูงสุดอยู่ในลำดับที่ 2 ของประเทศ โดย พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้เล่าให้ฟังถึงมาตรการของจังหวัดที่สามารถประสบผลสำเร็จอยู่ในลำดับต้นๆ ได้ว่า มาตรการของจังหวัดภูเก็ตจะใช้วิธีรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนรับรู้ และประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ห้างร้านต่างๆ มากกว่าการปรับจับเสียค่าปรับ เพื่อลดการต่อต้านจากชาวบ้าน โดยเราเริ่มรณรงค์มาก่อนหน้าที่รัฐบาลจะประกาศ ตั้งแต่ปี 2553โดยเริ่มจากเทศบาลเมืองภูเก็ตเป็นลำดับแรก กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.53 จะต้องมีการสวมหมวกนิรภัย 100%โดยตลอดระยะก่อน 1 ก.ค.53 นั้นจะไม่มีการเสียค่าปรับ แต่จะเป็นการให้ความรู้ และมีการอบรมความปลอดภัยการขับขี่บนท้องถนน พบว่าหลัง 1 ก.ค.53 ประชาชนมีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มมากขึ้น จากเดิมผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัย 40%เพิ่มเป็น 90% และผู้ซ้อนท้ายสวมหมวก 4%เพิ่มเป็น 90% เช่นกัน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากที่ประชาชนมีการรับรู้มากขึ้น
“ในระยะแรกที่ดำเนินการ ผมได้ยินมาว่าชาวบ้านมองว่าถ้าทำผิดแล้วเสียค่าปรับไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องมานั่งฟังอบรมจะรู้สึกเดือดร้อน แรกๆ ผมถึงไม่เน้นเรื่องการเสียค่าปรับ แต่เมื่อพบผู้กระทำผิด ก็จะให้เค้ามานั่งฟังการอบรมการขับขี่ที่ปลอดภัยเป็นเวลา 2 ชั่วโมง และผมยังใช้วิธีการให้หัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้บริหารห้างร้าน สถานประกอบการเอกชนเป็นพรีเซ็นเตอร์สวมหมวกกันน็อค ขึ้นคัตเอาท์ทั่วจังหวัด เพื่อให้รับรู้ว่าขนาดหัวหน้ายังเอาด้วย หรือการทำ MOU ร่วมกับสถานศึกษา เช่น หากนักศึกษาฝ่าฝืนไม่สวมหมวกและมีการตรวจจับ ทางมหาวิทยาลัยก็จะมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งกับนักศึกษา เช่น ตัดคะแนนจิตพิสัย หรือถ้าเป็นอย่างโรงแรมดังๆ ในภูเก็ต ก็จะมีการตัดทริปหรือโบนัสพิเศษให้กับพนักงานที่ถูกจับ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้จังหวัดภูเก็ตทำงานอย่างประสบผลสำเร็จ คือความร่วมมือของทุกภาคส่วน และที่สำคัญตำรวจเองก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชน และพร้อมให้โอกาสกับประชาชนที่ทำผิด เช่น การจับกุม ตำรวจต้องไม่ชี้หน้าต่อว่า หรือต้องให้ความรู้ความเข้าใจ พูดคุยกันดีๆ ไม่ใช่เอาแต่เสียค่าปรับ”พล.ต.ต.พิกัดกล่าว
ผ่านเลยมาครึ่งปีที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนร่วมก้าวเข้าสู่ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ประเทศไทยมีความปลอดภัยมากขึ้น แล้วคุณล่ะ จะไม่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยทำได้จริง อย่างที่ประกาศให้ทั่วโลกรับรู้หรืออย่างไร
เรื่องโดย: สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th