กทม.-สสส.ชวนคนกรุงออกกำลังสร้างกระแสรักสุขภาพ
กระตุ้นร่างกาย เพื่อร่างกายที่แข็งแรง
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกล่าวภายหลังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการดำเนินการส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า แม้ประชาชนจะเริ่มสนใจการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น แต่กว่า 70% กลับพบว่าคนไทยยังออกกำลังกายต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน หรือน้อยกว่า 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ กว่า 26% ออกกำลังกายไม่เพียงพอ เนื่องจากการไม่มีเวลา ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงาน จึงเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย ทั้งนี้จากผลการสำรวจพฤติกรรมการออกกำลังกายของคนไทยในปี 2550 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีจำนวนผู้ออกกำลังกายทั้งสิ้น 16.3 ล้านคน ซึ่งเยาวชนเป็นกลุ่มที่ออกกำลังกายมากที่สุด 73% เนื่องจากอยู่ในวัยเรียน ขณะที่วัยทำงานมีอัตราการออกกำลังกายน้อยที่สุด คือ 20% ทั้งที่การออกกำลังกายถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่สำคัญ โดยพบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน จะมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเพียง 17% ขณะที่ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย จะมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูงถึง 68% หรือ จำนวน 9.2 ล้านคนของจำนวนประชากรอายุ 11 ปีขึ้นไป
“กรุงเทพฯ แม้จะเป็นเมืองแออัด มีพื้นที่จำกัดแต่ก็มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและมีสถานที่สำหรับออกกำลังกาย เช่น สนามกีฬา สวนสาธารณะ ลานกีฬาของชุมชน หรือแม้แต่พื้นที่ว่างใต้ทางด่วน รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ ที่พร้อมจะให้บริการดูแลเรื่องการออกกำลังกายของประชาชน ดังนั้น กทม.และ สสส. จึงมีนโยบายส่งเสริมให้ออกกำลังกาย ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจัดให้มีลานกีฬา สวนสาธารณะ ศูนย์กีฬา และสโมสรกีฬา ในสังกัด กทม.กระจายทั้งหมด 50 เขต เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว
น.พ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นการสร้างค่านิยมเพื่อปรับพฤติกรรมของคนกรุงเทพฯ ให้หันมาออกกำลังกายมากขึ้น คาดว่าภายใน 1 ปีจะมีคนออกกำลังกายเป็นประจำไม่น้อยกว่า 1 แสนคน และจะมีพื้นที่เพื่อใช้ในการออกกำลังกายไม่น้อยกว่า 10% อีกทั้งยังขับเคลื่อนเครือข่ายสุขภาพให้กระจายทั่วทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ ส่งผลดีต่อสุขภาพประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำว่า หากคนทั่วไปหันมาออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ในรูปแบบที่เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกาย จะมีผลทำให้หัวใจ ปอดทำงานดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยง จากโรคที่คนเมืองกำลังป่วยมากที่สุดในเวลานี้ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็ง โรคเครียดและปัญหาสุขภาพจิต เป็นต้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
update: 15-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อภิชัย วรสิทธิ์ขจร