‘ไร่นาสวนผสม’ เพื่อเกษตรยั่งยืน
ปัญหาหนี้สินในภาคการเกษตรยังเป็นปัญหาใหญ่ของคนรากหญ้า โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ทำนากี่ไร่ๆ ก็ยังไม่หมดหนี้สิน เนื่องจากปลูกข้าวก็ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย บางปีน้ำท่วม บางปีน้ำแล้ง ขายข้าวก็ไม่ได้กำไร เพราะมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย
โครงการทำไร่นาสวนผสมตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีพระราชดำริในเรื่อง ทฤษฎี “อยู่อย่างพอเพียง” จึงถูกนำมาถ่ายทอดไปยังชาวเกษตรกรได้ยึดเป็นแนวปฏิบัติ โดยการสนับสนุนของสำนักงานสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จากที่เกษตรกรเคยทำนาเพียงอย่างเดียว หันมาทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสม จนปลดหนี้ได้ และยังมีรายได้ตลอดทั้งปี
“ประเสริฐ หนองคาย” เป็นหนึ่งในเกษตรกรผู้เปลี่ยนวิธีคิดชาวหมู่ 10 ตำบลอุทัยเก่า อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี โดยเขาได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติใช้จากที่เมื่อก่อนทำนาปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว ต้องประสบปัญหาผลผลิตที่ได้ไม่พอค่าใช้จ่าย
ทั้งยังเจอปัญหาฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลทำให้บางปีมีน้ำไม่เพียงพอทำการเกษตร อีกทั้งเงินที่ขายข้าวมาได้ก็ต้องนำไปใช้หนี้จนหมด แทบจะไม่เหลือเงินติดกระเป๋า ขณะนั้น สสส.นำโครงการไร่นาสวนผสมตามแนวพระราชดำริฯ จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการโดยเริ่มทำไร่นาสวนผสม โดยในช่วงแรกเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอได้เข้ามาช่วยร่วมกับ สสส.ทั้งให้ความรู้และช่วยปรับหน้าดิน และนำพันธุ์กล้าไม้มามอบให้เป็นทุน
ที่ดิน 7 ไร่ แต่ในพื้นที่เป็นที่ราบครึ่งหนึ่ง สำหรับทำนา แต่อีกครึ่งหนึ่งเป็นป่า ไม่เหมาะกับการทำนา ทำให้แต่ละครั้งที่ทำนาได้ผลผลิตไม่มากเท่าที่ควร เมื่อมีโครงการนำร่องไร่นาสวนผสม ผมจึงเข้าร่วมโครงการ เพราะทำนาต่อไปก็ไม่คุ้มค่า ซึ่งช่วง 2-3 ปีแรก ก็ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เพราะพืชไร่ต้องอาศัยเวลา
ไร่นาสวนผสม ในพื้นที่มีทั้งทำนา ปลูกพืชผักสวนครัว และผลไม้ตามฤดูกาล รวมถึงเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ด้วย โดยในพื้นที่ 7 ไร่ แบ่งทำนา 3 ไร่ ทำไร่นาส่วนผสม 4 ไร่ โดยจัดแบ่งเป็น 4 แปลง ปลูกผักและผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ส้ม ส้มโอ กระท้อน มะนาว กล้วย และมะพร้าวน้ำหอม เมื่อปลูกไปแล้วต้นไหนตายก็วางแผนนำผลไม้ชนิดอื่นมาปลูกทดแทนเรื่อยๆ ส่วนมากจะเน้นปลูกผลไม้ตามฤดูกาลเพราะขายง่ายออกผลผลิตตลอดฤดู
หลังจากที่ทำไร่นาสวนผสมแล้วรายได้ของครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ผลผลิตจากทำนาส่วนหนึ่งเก็บไว้กินเอง อีกส่วนพอแบ่งขายได้ ส่วนที่เป็นไร่นาสวนผสมก็มีไว้กินผลผลิต นอกเหนือจากนั้นก็เป็นกำไรในการส่งขายที่เป็นรายได้ประจำวันจากการขายผลไม้ในสวน หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีเงินเหลือเก็บประมาณ 400-500 บาทต่อวัน ถ้าเป็นรายสัปดาห์ก็ได้รวมๆ หลายพันบาท
เมื่อก่อนเราทำนาข้าวเพียงอย่างเดียว เราก็ใช้สารเคมี แต่เมื่อมีการรณรงค์ให้ไปตรวจสุขภาพ ก็พบว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งที่มีสารเคมีตกค่างในเลือด อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตราย แต่ขณะนั้นก็ยังไม่ได้เลิกทำนาเพียงแต่ใช้สารเคมีให้น้อยลงจนกระทั่งหายเป็นปกติ จึงหันมาทำเกษตรแบบไร่นาสวนผสม
นอกจากสุขภาพร่างกายจะดีขึ้นหลังจากไร่นาสวนผสมเริ่มลงตัวมากขึ้นแล้ว เขาก็เริ่มที่จะให้ความรู้กับเพื่อนเกษตรกรโดยนำความรู้ที่ สสส.มาถ่ายทอดให้ไปถ่ายทอดต่อ ทั้งเรื่องการทำไร่นาสวนผสม การใช้ชีวิตแบบพอเพียง และการทำบัญชีครัวเรือน ก็ทำให้ตนและครอบครัว ได้ปรับวิถีชีวิตโดยหันมาทำบัญชีครัวเรือน เพื่อให้รู้รายรับรายจ่ายหลังจากนั้นเพื่อนบ้านก็เริ่มหันมาทำบัญชีครัวเรือนและปรับวิถีอยู่อย่างพอเพียงมากขึ้น
กว่า 10 ปี ประเสริฐ ทำไร่นาสวนผสมและเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือจากเกษตรกรต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)มาลงทุน ทำนา ปลูกข้าว เมื่อขายข้าวเสร็จก็ต้องนำเงินไปใช้หนี้ ธ.ก.ส.ทำให้เงินไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย หลังจากทำไร่นาสวนผสม ทั้งส่งผลผลิตออกขายในท้องตลาดและอีกส่วนหนึ่งสามารถเก็บไว้รับประทานเองได้ ไม่ต้องเสียเงินไปจ่าย
“เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย จากคนที่มีหนี้สินจากการทำนา กลายเป็นผู้ที่มีรายได้พอกินพอใช้และอยู่อย่างพอเพียงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับชุมชน ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในชุมชนไม่ใช้สารเคมี”
นอกจากจะประสบความสำเร็จมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตแล้ว เขายังได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย ทั้งจากเกษตรอำเภอ และจากชาวบ้านด้วยกันที่เข้ามาแลกเปลี่ยนความเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และส่วนใหญ่ก็นำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับไร่นาสวนผสมของตัวเอง
“การทำการเกษตรให้ประสบผลสำเร็จ ไม่ใช่เพียงการทำเกษตรกรรมแบบผสมผสานเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ต้องรู้จักใช้ รู้จักความพอเพียงด้วยจึงจะอยู่รอดได้”
เรื่อง: เสาวนีย์ นิ่มปานพยุงวงศ์
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ