ไม่ตายไม่เจ็บเพราะเหล้า

สรุป 7 วันอันตรายในช่วงเทศกาลช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ตาย 358 ราย “อุบัติเหตุ – บาดเจ็บ” อีกเกือบอย่างละครึ่งหมื่น สาเหตุหลักเลยมาจากเมาแล้วขับ ทุกช่วงเทศกาลมักหยุดกันหลายวันเพื่อให้ทุกคนได้ทำความดีอย่างเต็มที่ ไปทำบุญ ไปกราบพ่อแม่ผู้มีพระคุณเพิ่มสิริมงคลเพิ่มบารมีดีงามให้ตัวเองและครอบครัว แถมยังได้เป็นผลพวงให้กับชาติบ้านเมืองด้วย

แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับตั้งเป้าว่าวันหยุดหลายวันในช่วงทุกเทศกาลคือ การไปร่ำสุรายาเมา โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ เงินพิเศษที่ได้มาพลันละลายไปกับเหล้าเบียร์ ไม่ได้ก่อประโยชน์ใดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับนำความทุกข์โศกความเสียหายมาแทนที่ทั้งแก่ตัวเองครอบครัว แล้วก็คนรอบๆ ข้าง

เงินหมด โรคภัยไข้เจ็บ ทรัพย์สินเสียหาย กระทั่งเสียชีวิต

อย่างช่วงเทศกาลปีใหม่นับหลายสิบปีมาแล้วภาพรวมประเทศไทยเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง หลายครอบครัวสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ที่เสียชีวิตปีละหลายร้อยศพ บาดเจ็บอีกหลายพันรายอุบัติเหตุอีกหลายพันครั้ง ใครลองคำนวณความเสียหายเป็นตัวเงินแล้วเอาไปคูณจำนวนครั้งในหนึ่งปีดู คูณด้วยหลายสิบปีประเทศไทยสูญเสียไปกี่มากน้อย

เฉพาะเทศกาลส่งท้ายปีเสือดุรับปีกระต่ายทองช่วง 7 วันอันตราย อย่างที่รู้กันไปแล้วว่ายอดผู้เสียชีวิต 358 ศพ ส่วนใหญ่เพราะเมา เมาแล้วก็ไปขับขี่ ประมาทขาดสติก็ไปเกิดอุบัติเหตุตาย

เมื่อวันที่ 5 มกราคมนายสุเทพเทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการความปลอดภัยทางถนน แถลงข่าวสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 ในช่วงรณรงค์ 7 วันระวังอันตราย นับตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม ถึง วันที่ 4 มกราคม 2554 ว่า เกิดอุบัติเหตุทางถนน 3,497 ครั้ง เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีที่แล้ว เกิด 3,534 ครั้งลดลง 37 ครั้ง

ที่น่าสลดหดหู่และน่าห่วงใยที่สุดคือพบว่า 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ถนนที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ถนนนอกเขตทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 63.85

หลังสรุปผล 7 วันอันตรายช่วงเทศกาลปีใหม่เพียง 3 วันก็เป็นวันเด็กแห่งชาติก่อนจะถึงวันเด็กเพียงวันเดียวคือวันที่ 7 ม.ค.นายคำรณ ชูเดชา ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา พร้อมด้วยเด็กและเยาวชนนิสิตนักศึกษา และภาคีครอบครัว กว่า 40 คนเข้าพบนายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยื่นข้อเสนอ “ของขวัญที่หนูอยากได้” จากผู้ใหญ่และสังคม เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2554 มี 3 ข้อ ได้แก่ 1. อยากให้พ่อเลิกเหล้า 2. อยากมีกิจกรรมปลอดเหล้าในครอบครัว และ 3. อยากมีพื้นที่สร้างสรรค์ปลอดภัย ปลอดเหล้า

ทั้งนี้ นายอิสสระกล่าวภายหลังรับหนังสือว่า การที่เด็กร่วมแสดงเจตนาในวันนี้ถือว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเหล้าเป็นภัยที่ใกล้ตัวเด็กอย่างมาก ซึ่งพฤติกรรมของผู้ปกครองในการดื่มเหล้าและครองสติไม่ได้ จะทำให้เด็กจดจำและเลียนแบบจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา

ด้านนายคำรณ กล่าวว่า จากข้อมูลที่เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนาสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำรวจ เรื่อง “ทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของบุคคลในครอบครัว” ในกลุ่มนักเรียนระดับประถมศึกษา อายุระหว่าง 9 – 15 ปีจำนวน 1,951 คน ทั้งหมด 67 โรงเรียนระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.53 – 4 ม.ค.54 พบว่าเสียงสะท้อนจากเยาวชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการเห็นผู้ปกครองหรือสมาชิกในครอบครัวดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึงร้อยละ 96.8

ด.ช.พีระพล อ่อนศรี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสุวรรณกล่าวว่า “ในฐานะเด็กคนหนึ่ง ผมอยากได้ของขวัญจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคุณพ่อของผมไม่ดื่มเหล้าหรือแอลกอฮอล์ เพราะผมไม่ต้องการเห็นคุณพ่อดื่มเหล้าเพราะดื่มแล้วเมาพูดจาไม่รู้เรื่อง และสิ่งที่ผมต้องการคืออยากให้พ่อมีเวลาให้ผม ผมสงสารเด็กเพราะมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ครอบครัวแตกแยก กลายเป็นเด็กที่มีปัญหาก้าวร้าว

โดยเฉพาะเด็กหลายรายที่มีพ่อแม่ดื่มเหล้า จนกลายเป็นปัญหาสังคมตามมา ดังนั้น ของขวัญที่ผู้ใหญ่ควรให้เด็กในโอกาสวันเด็กคือ การสร้างความเป็นแบบอย่าง การมีเวลาและได้ร่วมกิจกรรมที่ไม่มีเหล้ากับลูกๆ จะทำให้ลูกได้จดจำ ได้รับความอบอุ่น และรับรู้ในความรู้สึกความรักความห่วงใย เพราะคงไม่มีลูกคนไหนต้องการพ่อแม่ที่เอาแต่ดื่มเหล้า แต่อยากให้มีเวลาเล่นกับผม ไปเที่ยวด้วยกัน อยากให้พ่อกอดผมมากกว่ากอดขวดเบียร์ นอกจากนี้ในวันเด็ก ผมอยากได้ของขวัญคือ อยากให้คนไทยทั้ง 76 ล้านคน ทำความดีคนละหนึ่งข้อด้วยคือ ไม่กินเหล้า เพื่อให้สังคมมีความสุข”

ได้ยินเสียงสะท้อนจากลูกหลานกันอย่างนี้แล้ว ผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่ตายไม่เจ็บเพราะเหล้า เป็นของขวัญให้ลูกหลานในปี54 นี้กันเถอะ

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code