ไทยเตรียมพร้อม เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
รองนายกฯ “ยงยุทธ” หนุนขยายเกษียณอายุจาก 60 เป็น 65 ปี พร้อมชงก.คลัง เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ปรับทัศคติเตรียมพร้อมประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์อีก 10 ปีข้างหน้า ดัน พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ มีการเสวนาเวทีสาธารณะ “มาตราการส่งเสริมการทำงานต่อเนื่องของผู้สูงอายุ” จัดโดย มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.)โดยมีนักวิชาการ และตัวแทนกลุ่มแรงงานเข้าร่วมเสวนา
ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสังคมโดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุผ่านกลไกลของหน่วยงานรัฐ เช่น มีการจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีผู้สูงอายุ เช่น การผลิตหูฟังสำหรับผู้มีปัญหาการได้ยิน การผลิตข้อเข่าเทียม รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐ ผ่านกระทรวงสาธารณสุข ที่มีจัดหมอครอบครัวดูแลคนชุมชน และการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุดูแลกันด้วย เช่น ผู้สูงอายุที่ อายุประมาณ 60 ปี เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีอายุมาก หรือผู้สูงอายุที่ป่วยติดบ้านติดเตียง เป็นต้น รวมถึงการผลักดัน พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งอยู่ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อส่งเสริมให้มีการออมตั้งแต่อายุยังน้อย แก้ไขปัญหาการไม่มีเงินออมหลังการเกษียณ และเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ โดยขณะนี้ได้ให้ทางกระทรวงการคลังพิจารณาช่วยเหลือ ซึ่งอาจเพิ่มจำนวนเงินให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ยากไร้
“การเกษียณอายุในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า ควรอยู่ที่ 65 ปี จากเดิมที่เกษียณตอน 60 ปี เนื่องจากเห็นว่า ผู้สูงอายุยังทำงานได้อยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้จากข้อมูลกองทุนผู้สูงอายุ พบว่า มีผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 30 ที่มีศักยภาพในการทำงานสามารถพึ่งพาตนเองได้ รัฐบาลจึงมีแนวนโยบายการพัฒนาผู้สูงอายุ โดยการส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ มีการส่งเสริมการศึกษา โดยเฉพาะระบบไอที ขยายการศึกษาไปยัง ระดับมหาวิทยาลัย มากกว่าปัจจุบันที่จำกัดเฉพาะการศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน.เท่านั้น” ศ.ดร.ยงยุทธ กล่าว
ศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญ คือการปรับทัศนคติของสังคมไทยที่มีต่อผู้สูงอายุ เช่น ไม่ต้องทำงานลูกหลานเลี้ยงได้ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น พอถึงเวลาไม่มีใครเลี้ยง ฉะนั้นเราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ โดยผ่านนโยบาย 3 รับ คือ 1.ผู้สูงอายุต้องรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ต้องรู้จักการปรับตัวเรื่องการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น และรู้จักการออกกำลังกาย เพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลา 2.รองรับสถานการณ์อนาคต โดยรู้จักมีวินัยในการออม เพื่อให้มีจำนวนเงินที่พอใจหลังการเกษียณ และ3.ต้อนรับสังคมสูงวัย รู้จักพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ประเทศไทยควรมีการปรับใช้ มาร่วมกันคิดทำอาชีพ เพื่อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุให้มากขึ้น
ด้าน พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ รักษาการเลขามูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย กล่าวว่า สถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยในอีก 10 ปี ข้างหน้าคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ และอีก 20 ข้างหน้าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสุดยอด คือมีประชากรสูงอายุมากกว่า ร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 โดยอัตราเร่งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ผลลัพธ์ทำให้สังคมไทยแก่แล้วแต่ก็ยังยากจน ในขณะที่ประเทศอื่นจะรวยก่อนจึงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จากสถิติพบว่า คนไทยที่อยู่ในวัยทำงานส่วนใหญ่คิดเรื่องการออมร้อยละ 50 แต่มีผู้ลงมือปฏิบัติจริงน้อยมาก ฉะนั้นนับจากนี้ จึงควรเร่งมาตรการส่งเสริมการทำงานอย่างต่อเนื่องของผู้สูงอายุให้เป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ผู้สูงอายุเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น เพื่อนำไปสู่ความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ปัญหาที่น่าวิตกคือ ปัญหาเงินออมของผู้สูงอายุก่อนเข้าสู่วัยหยุดทำงานยังมีปัญหา ฉะนั้นต้องมีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อแก้ไขปัญหา ทั้ง การส่งเสริมการสร้างงาน การหามาตรการรองรับสร้างหลักประกันทางรายได้หลังการเกษียณ เป็นต้น เพื่อให้มีจำนวนเงินเพียงพอสำหรับการยังชีพตลอดอายุขัย” พญ.ลัดดากล่าว
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข