ไทยร่วมพันธสัญญาภูเก็ต สู่’ความปลอดภัยท้องถนน’
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
แฟ้มภาพ
การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ยังคงเป็นปัญหาอันดับหนึ่งของประเทศไทยมาตลอด ข้อมูลล่าสุดพบผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงถึง 22,356 รายต่อปี และอีก 6,000 ราย ต้องกลายเป็นผู้พิการ ในขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิต 1.2 ล้านคนทุกปี
จากความไม่ปลอดภัยทางท้องถนน และเป็นสาเหตุการตายลำดับต้นๆ ของคนวัยหนุ่มสาวตั้งแต่อายุ 15-29 ปี สำหรับภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้เสียชีวิตมากถึง 316,000 รายต่อปี หรือราว 1 ใน 4 ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งหมดตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ดังนั้น หลากหลายหน่วยงานจึงมีความพยายามในการลดปัญหาดังกล่าว
ล่าสุดในเวทีการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก เพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อนทศวรรษแห่งความปลอดภัยบนท้องถนนที่จัดขึ้นที่ภูเก็ตเมื่อเร็วๆ นี้ จึงมุ่งให้ความสนใจในการแก้ปัญหาดังกล่าว เนื่องจากมองว่าความปลอดภัยทางท้องถนนเป็นเรื่องที่ป้องกันได้และควรนำไปปฏิบัติใช้อย่างจริงจัง เพราะความสูญเสียเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นมีมากทั้งในระดับครัวเรือนและชุมชน เป็นสาเหตุสำคัญที่รัฐมนตรีสาธารณสุขและ ผู้กำกับดูแลนโยบายด้านสุขภาวะระหว่างประเทศจาก 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกได้ประกาศเจตนารมณ์ "พันธสัญญาภูเก็ต" เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนทศวรรษแห่งความปลอดภัยบนท้องถนน โดยนำคำว่า Phuket มาแปลงเป็นพันธสัญญาครั้งนี้ ประกอบด้วย P = Prioritization หรือจัดลำดับความสำคัญ H = High level commitments หรือคำมั่นจากฝ่ายนโยบายระดับสูง U = United ความสามัคคีกลมเกลียว K = Knowledge ต้องมีปัญญา E = Enforcement นำพากฎหมาย T=Target มีเป้าหมายร่วมกัน
โดย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า อีก 3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมุ่งเน้นแก้ไขเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนในกลุ่มประชากรเปราะบาง ประกอบด้วย ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ คนเดินถนน ผู้ที่ดื่มแล้วขับ ผู้ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และ ผู้ไม่สวมหมวกนิรภัย โดยทำให้พันธสัญญาภูเก็ตนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และคิดว่าประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างให้กับประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกในการลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตบนท้องถนนได้ โดยแนวทางเรื่องการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางท้องถนนของประเทศไทยในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา พบว่าแม้จะมีอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนสูง แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกที่มีแนวโน้มจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตลดลง เพราะรัฐบาลมุ่งเน้นเป็นยุทธศาสตร์ชาติในการลดการบาดเจ็บและเสียชีวิต
"ดังนั้นจะต้องมีการบูรณาการในทุกภาคส่วน อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมาย ดูแลมาตรฐานของยานพาหนะ และการดูแลผู้บาดเจ็บ แม้ว่าการรักษาผู้บาดเจ็บจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทางที่เราต้องดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุดด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่เราต้องเน้นย้ำ คือการป้องกันอุบัติเหตุรวมถึงการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นและทำให้ทุกอย่างปลอดภัย" นพ.ปิยะสกลกล่าว
สำหรับการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางท้องถนนของ จ.ภูเก็ต ได้ดำเนินการผ่านกลไกแนวราบ โดย นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ ผู้จัดการแผนงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนน และรองประธานแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) ขยายความให้ฟังว่า จ.ภูเก็ต เคยถูกจัดอันดับเป็นจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางท้องถนนเป็นอันดับ 2 และไม่เคยต่ำกว่าอันดับ 5 ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา โดยมีคนเสียชีวิตเฉลี่ย 2 วัน 3 คน และประสบอุบัติเหตุชั่วโมงละ 3-4 คน หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดจึงต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา เพราะผลที่ตามมาจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน คือการสูญเสียหรือพิการตลอดชีวิตเป็นภาระครอบครัว เรามองว่าชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญมากและอุบัติเหตุเป็นเรื่องป้องกันได้ลดลงได้
นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานผ่านแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) ซึ่งทำหน้าที่เป็นทีมสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งบุคลากรทางสาธารณสุข ตำรวจ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขนส่งจังหวัด ศึกษาจังหวัด เป็นต้น เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหา จนเกิดเป็นกลไกแนวราบ มีเป้าหมายเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนของประชาชน ผ่าน 3 กระบวนการคือ 1.การบริหารจัดการอย่างเข้มแข็ง โดย สสส. เข้ามาเป็นเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้ภาคีได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้จนทำให้เครือข่ายเกิดความเข้มแข็ง 2.แก้ไขจุดเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา จ.ภูเก็ต แก้ไขจุดเสี่ยงได้กว่า 200 จุด โดยเริ่มจากการสร้างวงเวียนสุรินทร์-นริศร ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ทำให้การบาดเจ็บบริเวณทางแยกลดลงจาก 17-36 ราย/ปี เหลือ 0 รายในปี 2560 และ 3.การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น จ.ภูเก็ต มีอัตราการจับกุมคดีไม่สวมหมวกนิรภัยต่อแสนประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีการนำระบบเทคโนโลยีมาช่วยบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับผู้ฝ่าฝืนสัญญาณไฟโดยใช้แอพพลิเคชั่น TEMA (Traffic-law Enforcement Mobile Application) การใช้เครื่องตรวจวัดความเร็ว Red light camera การใช้ปืนตรวจจับความเร็วรถ และการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน คือการบาดเจ็บที่ศีรษะลดลงจากร้อยละ 37.1 ในปี 2554 เป็นร้อยละ 20.6 ในปี 2558 และในปี 2559 ลดผู้เสียชีวิตจากเมาแล้วขับได้ร้อยละ 8.8 โดยปัจจัยความสำเร็จของการขับเคลื่อนความปลอดภัยบนท้องถนน สิ่งที่สำคัญ คือการใช้กลไกแนวราบ โดยการร่วมมือกันของทุกฝ่าย การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นของตำรวจจราจร และการเร่งแก้ไขจุดเสี่ยงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมไปถึงการที่ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยของชีวิตตนเองและคนรอบข้าง
นอกจากนี้ ภายในงานยังเปิดตัวคลิปวิดีโอ "คิดถึง" เวอร์ชั่นล่าสุด โดยคลิปดังกล่าวมีความพิเศษ คือเพลงประกอบไม่ได้ขับร้องโดยหรั่ง ร็อคเคสตร้า ศิลปินเจ้าของบทเพลงดั้งเดิม หากแต่เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา ลูก เพื่อนจากหลายสิบครอบครัวที่ต่างต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปจากอุบัติเหตุและความไม่ปลอดภัยบนท้องถนน ภาพขาวดำที่นำเสนอในห้องฉุกเฉิน ทีมกู้ภัย ร่างผู้เสียชีวิต การรอคอยอย่างสิ้นหวังของคนในครอบครัว ภาพงานสวดอภิธรรมนำเสนอความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุเพียงเสี้ยววินาทีที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมา อาจทำให้ผู้ที่เห็นได้ฉุกคิดและตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้หวังว่าปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนจะลดลง