“แอลกอฮอล์ในคราบน้ำหวาน” ภัยคุกคามเยาวชน
เทรนด์ใหม่น้ำเมา ดื่มง่าย..แต่ทำลายสังคม
การสร้างความคิดสร้างสรรค์ จะเกิดขึ้นบนพื้นฐานสำคัญสองประการคือ สร้างสรรค์เพื่อการพัฒนา และ สร้างสรรค์เพื่อการอยู่รอด แม้ว่าทั้งสองแนวทางจะมีผลออกมาเหมือนกัน คือ ทำให้เกิดการเปลี่ยน แต่ทว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีคุณและโทษกันไปคนละอย่างคนละทาง
การสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนา จะเกิดผลประโยชน์ที่กระทบต่อสังคม ละประเทศชาติเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตันเข้ามาเกี่ยวข้อง
การสร้างสรรค์เพื่อการอยู่รอด ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในวงแคบ คือ ทำให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มบุคคลที่สร้างสรรค์งานชิ้นนั้นขึ้นมา ซึ่งมักจะอยู่ในแวดวงการค้าและอุตสาหกรรม
ทั้งนี้เนื่องจาก ธุรกิจการค้าและการอุตสาหกรรม จะเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นเพื่อกลุ่มผู้ประกอบการ ดังนั้น เมื่อเกิดการผลิต ผลลัพธ์สุดท้ายที่พวกเขาต้องการคือ ต้องการให้สิ่งที่ผลิตเกิดประโยชน์กับผู้ผลิตเอง
ในภาคส่วนของการค้าและอุตสาหกรรม เมื่อต้องบังเกิดการภาวะวิกฤติที่ทำให้ธุรกิจต้องล่มสลาย พวกเขาจะสร้างสรรค์งานขึ้นเพื่อ หาทางเอาตัวรอด (จากวิกฤติ) โดยไม่คำนึงว่าผลจากการสร้างสรรค์นั้นจะกระทบต่อสังคม หรือคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคส่วนของตัวเองหรือไม่
ดังเช่นในแวดวงธุรกิจเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็น “ปัจจัย” ที่สังคมประเทศกำลังเป็นห่วง ว่าจะทำให้เกิดภาวะวิกฤติทางสังคมแก่พลเมืองของชาติ จึงทำให้เกิด กฎ กติกา มารยาท ทั้งที่มีกฎหมายรองรับ และจริยธรรมรองรับเกิดขึ้นมากมาย
สุดท้ายสิ่งที่เกิดจากรณรงค์ด้วยความหวังดีของผู้บริหารประเทศ มีผลทำให้การจำหน่ายผลิตผลจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ลดจำนวนกำไรลงไปอย่างมาก จึงได้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการเอาตัวรอดเกิดขึ้น อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์กำลังฮิตติดปากอยู่ในแวดวงนักดื่มที่เรียกกันว่า “เหล้าปั่น”
“เหล้าปั่น” หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของหัวเชื้อแอลกอฮอล์ แต่ความจริงแล้ว เหล้าปั่นคือภัยเงียบที่กำลังคุกคามและทำร้ายเยาวชนของชาติ และพร้อมที่จะสร้างนักดื่มหน้าใหม่ทุกเมื่อ
ด้วยช่องทางทางการค้าที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย และความเห็นแก่ได้ของผู้ประกอบการ จนลืมคิดถึงเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า และทุกวันนี้ “เหล้าปั่น” ก็กลายเป็นกระแสที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นอย่างกว้างขวางไปโดยปริยาย
จากผลการศึกษาในปี 2550 ของ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างเยาวชนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับ ปวช. จำนวน 53,010 คน ใน 24 จังหวัด พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า
กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชายในระดับ ม.2 เคยมีประวัติเคยดื่มแอลกอฮอล์แล้วถึงร้อยละ 33.7 และหญิงร้อยละ 22.1 โดยเฉลี่ยอายุเมื่อเริ่มดื่มครั้งแรกเท่ากับ 11.9 ปี และ 12 ปี ตามลำดับ ซึ่งแน่นอนว่าจากสาเหตุเหล่านี้ย่อมนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเด็กวัยเรียนที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจด้วยเช่นกัน
ในการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 4 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นในหัวข้อ “ยุติวิกฤติปัญหาสุรา…ด้วยกฎหมาย” โดยความร่วมมือของ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และ เครือข่ายกว่า 20 องค์กร จึงได้มีการร่วมมือของทุกภาคส่วน ในการรวบรวมผลวิจัยในการต่อต้านและรับมือกับอสูรร้ายให้หายไปจากสังคม
โดยกลุ่มนักศึกษาปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันทำการวิจัยในหัวข้อ รูปแบบการสื่อสาร และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเหล้าปั่นของวัยรุ่น ด้วยการศึกษาและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
ผู้นำกลุ่มอย่าง มิ้ว หรือ นางสาวทัศนาวดี แก้วสนิท นักศึกษาปริญญาโทปีที่ 2 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยเรื่องราวของเหล้าปั่นในเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นที่ดื่มจริง จำนวน 9 คน
จากการที่ได้ลงไปศึกษาเรื่องราวของเหล้าปั่นอย่างลึกซึ้งก็พบข้อมูลที่น่ากลัวว่ากลุ่มนักดื่มเหล้าปั่นส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 13 – 19 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมต้น จนถึงระดับอุดมศึกษา
ส่วนสาเหตุในการดื่มก็มีจะหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ดื่มง่าย เพื่อนชักชวน รวมไปถึงกลยุทธ์ในการขาย ทั้งในเรื่องของรูปแบบภาชนะที่ใช้ในการใส่ที่โปร่งใส เพื่อให้เห็นถึงสีสันของเหล้าปั่นได้อย่างชัดเจน เรื่องของราคาที่ถูกทำให้เยาวชนสามารถซื้อหาได้ง่าย รวมไปถึงบรรยากาศในการตกแต่งร้านเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ที่มีหลากหลายแนวเพื่อเรียกให้กลุ่มวัยรุ่นสนใจ
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ ร้านเหล้าปั่นส่วนใหญ่ มักจะตั้งอยู่ในละแวกเดียวกับสถานศึกษาแทบทั้งสิ้น ซึ่งจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แน่นอนว่าทำให้เอื้อประโยชน์ต่อการเกิดนักดื่มหน้าใหม่ ทั้งในกลุ่มเด็กเยาวชนและสตรีได้ไม่ยาก อีกทั้งการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายแบบ ลด แลก แจก แถม ก็เป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยเพิ่มปริมาณการดื่มได้เป็นอย่างดี
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ และก่อนที่กระแสของเหล้าปั่นจะมอมเมาเยาวชนไทย และบ่อนทำลายสังคมไปมากกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกหน่วยงานจะต้องหันมาเอาจริงเอาจัง ให้ความสำคัญและร่วมมือกันแก้ปัญหา และตัดช่องทางอบายมุขที่คอยบ่อนทำลายเยาวชนของชาติ ไม่ให้กลายเป็นทาสน้ำเมากันอีกต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Update 07-01-52