เลี่ยงพยาธิใบไม้ตับ ต้อง “ปรับ-เปลี่ยน”

เลี่ยงพยาธิใบไม้ตับ ต้อง “ปรับ-เปลี่ยน”

 

 

ทุกวันนี้เชื่อได้เลยว่า ไม่มีใครที่ไม่อยากมีสุขภาพดี และสิ่งที่จะช่วยได้นั้นคือ การออกกำลังกาย แต่นั่นอาจยังไม่เพียงพอ เรื่อง อาหาร ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะในอาหารเต็มไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่!!! ในทางกลับกัน หากเราบริโภคไม่ถูกสุขลักษณะหรือที่เรียกง่ายๆ ว่า…ตามใจปาก กินไม่เลือกแล้วละก็!! อาหารหนึ่งมื้อที่ทานไปนั้นอาจแฝงมาด้วยอันตรายถึงชีวิตได้…

 

ยิ่งผู้ที่ชอบบริโภคอาหารแบบสุกๆ ดิบๆ ที่บอกว่าอร่อยนักอร่อยหนา แซบหลายๆ นั่นแหละตัวดีทีเดียว…เพราะอาหารเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยเหล่าวายร้าย อย่างพยาธิต่าง ๆ ที่คอยจ้องจะบั่นทอนสุขภาพหากคุณรับประทานเข้าไป…โดยเฉพาะพยาธิใบไม้ตับ

 

            เป็นที่น่าตกใจ!!! เมื่อพบว่าประเทศไทยมีประชากรราว 7 ล้านคนทั่วประเทศติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าชายในอีสานป่วยด้วยโรคมะเร็งตับในอัตราเฉลี่ย 80 คน และผู้หญิงพบ 40 คนต่อประชากรแสนคน รองลงมา ได้แก่ ภาคเหนือ และภาคกลางตามลำดับ นอกจากจะพบในคนแล้ว พยาธิใบไม้ตับยังพบในแมว และสุนัขอีกด้วย ตัวเลขนี้เมื่อเทียบกับชาวตะวันตก พบการเกิดโรคต่ำกว่ามากเพียง 1 ต่อแสนคนเท่านั้น ที่สำคัญในแต่ละปียังพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มปีละ 15,000 คน ซ้ำร้ายผู้ป่วยโรคนี้ร้อยละ 95 มักเสียชีวิต

 

เลี่ยงพยาธิใบไม้ตับ ต้อง “ปรับ-เปลี่ยน”

            แล้วคุณรู้หรือไม่ว่ามันเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร ???

 

            ขึ้นชื่อว่าพยาธิใบไม้ รูปร่างลักษณะต้องคล้ายใบไม้อย่างแน่นอน ตัวบาง ขณะมีชีวิตลักษณะเป็นสีเนื้อใส ขนาดเฉลี่ยของความกว้าง 1.4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 7.4 มิลลิเมตร แม้มีขนาดเล็กแต่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

เหตุที่พยาธิเข้าสู่ตัวคนได้นั้น เนื่องมาจากไข่พยาธิที่มีตัวอ่อนอยู่ภายในจะออกมากับอุจจาระของคน เมื่อคนถ่ายอุจจาระลงน้ำ ไข่จะถูกกินโดยหอยน้ำจืด ซึ่งพบได้ตามแหล่งน้ำและทุ่งนา จากนั้นตัวอ่อนภายในไข่จะมีพัฒนาการจนมีลักษณะเป็นหางยาว แล้วไชออกจากหอยลงสู่น้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปลาน้ำจืดกินตัวอ่อนพยาธินี้เข้าไป ตัวอ่อนจะเข้าไปอยู่บริเวณเกล็ดเนื้อปลาและหัวปลา เมื่อเข้าไปอยู่ในปลาจะอยู่ในลักษณะเป็นถุงซีสต์ ตัวอ่อนที่อยู่ในปลานี่เองที่ทำให้เราเป็นพยาธิใบไม้ ส่วนปลาน้ำจืดที่พบว่ามีพยาธิใบไม้ตับมากที่สุด ได้แก่ ปลาสูด ปลาซิว ปลาไส้ตันตาแดง ปลาสร้อย ปลาตะเพียน ปลาตอง และปลาขาวนา เป็นต้น

 

            และเมื่อกินปลาเหล่านี้เข้าไป!!!  โดยเฉพาะสุกๆ ดิบๆ เช่น ก้อยปลา ลาบแจ่ว หรือโดยวิธีปิ้ง นึ่งให้แห้งเฉพาะผิวนอกของตัวปลา แต่ในเนื้อปลายังคงดิบอยู่ ความร้อนจึงเข้าไม่ถึงเนื้อปลาส่วนในพยาธิในปลาจึงยังมีชีวิตอยู่ เมื่อร่างกายของคนได้รับตัวอ่อนของพยาธิในลักษณะถุงซีสต์เข้าไปที่ลำไส้เล็กของคน ตัวอ่อนที่อยู่ภายในถุงซีสต์จะไชออกมา แล้วเดินทางไปสู่ตับ โดยผ่านทางเดินของท่อน้ำดี เจริญเป็นตัวแก่บริเวณท่อน้ำดีในตับ และพยาธิใบไม้ตับนี้ สามารถอยู่ในร่างกายของคนได้นานถึง 20-25 ปี

 

เลี่ยงพยาธิใบไม้ตับ ต้อง “ปรับ-เปลี่ยน”

            ผลร้ายทำลายสุขภาพคุณ!!!

           

            ได้ชื่อว่าพยาธิมันต้องทำร้ายร่างกายแน่นอน แต่จะรุนแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนพยาธิและระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในตัวคน รวมถึงสุขภาพร่างกายของคนผู้นั้นด้วย อาการผิดปกติไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่จะพบหลังจากพยาธิเข้าสู่ร่างกายแล้วประมาณ 3 เดือนขึ้นไป ดังนั้น ถ้ามีพยาธิน้อย คือประมาณ 100 – 200 ตัว ก็จะไม่พบอาการผิดปกติของร่างกายแต่อย่างใด แต่ผลเสียคือ คนคนนั้นจะเป็นผู้ที่ทำให้โรคแพร่กระจายต่อไป ในรายที่มีพยาธิมากกว่า 200 ตัว ขึ้นไป อาการที่จะพบได้มีตั้งแต่ท้องขึ้น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เจ็บๆ ร้อนๆ ที่ตับ ถ่ายอุจจาระบ่อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แน่นบริเวณลิ้นปี่ ท้องเดิน ตับโต ระคายเคืองท่อน้ำดี มีอาการอุดตันของทางเดินท่อน้ำดีจนเกิดการอักเสบ อาจจะเป็นๆหายๆ หรือเป็นติดต่อกันเรื่อยๆ และในที่สุดก่อให้เกิดมะเร็งในท่อน้ำดี มะเร็งในตับ และเสียชีวิตในที่สุด

 

ในแง่ของผลเสียต่อภาวะโภชนาการนั้นพบว่า การดูดซึมของวิตามินต่างๆ จะลดลง โดยเฉพาะวิตามิน บี 12 ในรายที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคขาดสารอาหาร และโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ก็จะเห็นผลความผิดปกติเร็วและรุนแรงมากขึ้น ผลร้ายที่ตามมาของโรคนี้คือบั่นทอนสุขภาพของคนอย่างเรื้อรัง ทำให้ด้อยประสิทธิภาพในการทำงาน ก่อให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาคุณภาพของคน

 

เลี่ยงพยาธิใบไม้ตับ ต้อง “ปรับ-เปลี่ยน”

            ฉะนั้นการป้องกันไม่ให้มันเข้ามาอยู่ในร่างกายเรา น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เริ่มด้วยการทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดโรคอย่างถ่องแท้ ซึ่งสาเหตุโดยตรงของการเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับเกิดจากการกินอาหารในลักษณะดิบหรือสุกๆ ดิบๆ ส่วนใหญ่การบริโภคเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องของบริโภคนิสัย และพบว่า นิสัยการบริโภคอาหารปลาดิบนี้ มีความซับซ้อนและสัมพันธ์กับปัจจัยต่างๆ มากมาย เช่น ปัจจัยด้านวัฒนธรรม ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปรุงอาหาร เช่น เข้าใจผิดคิดว่าอาหารก้อยปลาเป็นอาหารสุกแล้ว เพราะผ่านการปรุงด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำมะขาม หรือแม้แต่ความเปรี้ยวของมดแดง เป็นต้น

 

นอกจากนี้ วิถีชีวิตของคนโดยเฉพาะคนภาคอีสานมีข้อจำกัดของแหล่งอาหารและสภาพแวดล้อม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้มีการระบาดของโรค ยิ่งไปกว่านั้นการไม่ตระหนักถึงผลลัพธ์ของโรค ซึ่งพบเสมอในคนที่ชอบบริโภคอาหารดิบๆ เนื่องจากอาการของโรคพยาธิใบไม้ตับจะไม่ปรากฏให้เห็นทันที กว่าจะตรวจพบร่างกายก็อยู่ในสภาพย่ำแย่หรือรุนแรง จนแทบจะแก้ไขไม่ทัน ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นมาตรการที่สำคัญยิ่ง

ซึ่งวิธีการป้องกันแบบง่ายๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นการฝึกนิสัยการกินใหม่ เปลี่ยนจากการกินแบบสุกๆ ดิบๆ มาเป็นการปรุงให้สุกด้วยความร้อนเสียก่อน ที่สำคัญต้องถ่ายอุจจาระในส้วม หลีกเลี่ยงการถ่ายลงในน้ำหรือที่ชื้นแฉะอย่างเด็ดขาด เพราะพื้นที่ชื้นแฉะจะช่วยให้พยาธิมีชีวิตได้เป็นอย่างดี ช่วยกันกำจัดหอยที่เป็นแหล่งฟักตัวของพยาธิ ส่วนในคนที่รักแมวและสุนัข ควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองชนิดนี้อย่างใกล้ชิด และสุดท้าย ควรให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการบริโภคอาหารและเรื่องราวของพยาธิใบไม้ตับอย่างแท้จริง เพื่อสุขภาพที่ดีในตัวคุณและคนรอบข้าง…

 

ก่อนที่พยาธิจะถามหา…ลองปรับปรุงพฤติกรรมการกินกันใหม่ดู รับรองสุขภาพดีๆ ที่คุณต้องการมาหาคุณแน่นนอน…

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaithealth.or.th

 

 

Update:28-05-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฐภัทร ตุ้มภู่

 

 

 

 




เรื่องที่เกี่ยวข้อง

 

– โรคพยาธิใบไม้ตับ   

 

– มะเร็งตับร้าย 

 

– รู้จักมะเร็งถุงน้ำดี และท่อน้ำดี  

 

– พิษสุราเรื้อรัง Alcoholism

 

– โรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี 

 


 

 

 

 

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code