“เลิกสูบ ก็เจอสุข” ชู 5 วิถี ปลอดบุหรี่โดยชุมชนท้องถิ่น
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
แฟ้มภาพ
สสส. สกัดบุหรี่ได้ผลคนไทยสูบบุหรี่ลดลงต่อเนื่อง หนุนชุมชน ใช้ 3 กลยุทธ์ “สร้าง-เสริม-ส่วนร่วม” ขับเคลื่อนรณรงค์ “เลิกสูบ ก็เจอสุข” ชู 5 วิถี ปลอดบุหรี่โดยชุมชนท้องถิ่น “สร้างบุคคลต้นแบบ-เพิ่มพื้นที่ปลอดบุหรี่-คลินิกปลอดบุหรี่-เพิ่มกติกาทางสังคม-บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด” มั่นใจลดผู้สูบบุหรี่ได้สำเร็จ
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อออกแบบการรณรงค์และขับเคลื่อนกิจกรรม “เลิกสูบ ก็เจอสุข: 5 วิถี ปลอดบุหรี่โดยชุมชนชนท้องถิ่น” เนื่องในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก ซึ่งตรงกับวันที่ 31 พ.ค. ของทุกปี โดยปีนี้มีประเด็นในการรณรงค์คือ บุหรี่ตัวร้ายทำลายหัวใจ ขณะที่ในระดับพื้นที่มีการจัดประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กลยุทธ์การรณรงค์ “เลิกสูบ ก็เจอสุข” ทบทวนปัญหาและออกแบบกิจกรรมการรณรงค์การควบคุมยาสูบในพื้นที่เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ และพัฒนากลไกการรณรงค์ในระดับพื้นที่
ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก (สำนัก 1) กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่สำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มสุราของประชากรครั้งที่ 18 ปี 2560 พบว่า คนไทยมีอัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดและลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 20.7 ในปี 2557 เหลือร้อยละ 19.9 ในปี 2558 และลดลงมาเหลือร้อยละ 19.1 ในปี 2560 โดยผู้ชายลดลงมากกว่าผู้หญิง คือ ผู้ชายลดลงจากร้อยละ 40.5 ในปี 2557 เหลือร้อยละ 39.3 ในปี 2558 และเหลือร้อยละ 37.7 ในปี 2560 สำหรับผู้หญิงลดลงจากร้อยละ 2.2 ในปี 2557 เหลือร้อยละ 1.8 ในปี 2558 และเหลือร้อยละ 1.7 ในปี 2560 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการขับเคลื่อนโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 โดยใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ชวนคนในพื้นที่มาลดบุหรี่ ซึ่ง อสม. มีกว่า 1 ล้านคน หาก อสม. 1 คน ชวนได้ 3 คน แล้วเลิกสำเร็จ 1 คน เท่ากับช่วยลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงได้กว่า 1 ล้านคน ซึ่งการเลิกบุหรี่โดยหักดิบจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเลิกบุหรี่ในระยะเร่งด่วน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลการชักชวนให้เลิกบุหรี่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังแก้ปัญหาระยะยาวโดยการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ ทำให้เยาวชนเห็นถึงพิษภัยและอันตรายของบุหรี่ ซึ่งพบว่า ในปี 2560 อายุเฉลี่ยที่เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกเริ่มขยับเพิ่มขึ้นจากอายุ 17.8 ปี ในปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 18 ปี ในปี 2560
“เป้าหมายการลดอัตราการสูบบุหรี่ของประเทศไทยที่รับมาจากองค์การอนามัยโลกคือ ภายในปี 2568 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า จะต้องลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงให้เหลือประมาณ 9 ล้านคน หรือลดลงให้ได้อีก 1 ล้านคนภายใน 7 ปี เฉลี่ยแล้วต้องลดคนสูบบุหรี่ให้ได้ 2.5 แสนคนทุกปี จึงจะประสบความสำเร็จไปถึงเป้าหมายได้” ดร.นพ.บัณฑิต กล่าว
ด้าน นางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. กล่าวว่า จากการดำเนินงานด้านการควบคุมการบริโภคยาสูบ โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งในเครือข่ายร่วมสร้าชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ชุมชนท้องถิ่น เป็นอีกหนึ่งกลไกในพื้นที่ที่สามารถสร้างนวัตกรรม และสร้างมาตราการทางสังคม เป็นอีกแนวทางจัดการปัญหาในพื้นที่ได้ ในปี 2561 จึงมุ่งเน้นไปที่การใช้กลไกในพื้นที่กำหนดมาตรการทางสังคม และการพัฒนาระบบการบริการ เพื่อการควบคุมการสูบบุหรี่ในพื้นที่ โดยใช้ 5 ปฏิบัติการสำคัญ คือ 1. สร้างบุคคลต้นแบบ 2.เพิ่มพื้นที่ปลอดบุหรี่ 3.สร้างคลินิกเลิกบุหรี่ 4.เพิ่มกติกาทางสังคม 5.บังคับใช้กฎหมาย ผ่าน “3 กลยุทธ์” ประกอบด้วย สร้าง, เสริม และส่วนร่วม สำหรับกลยุทธ์ 1. สร้าง อาทิ สร้างนักรณรค์ จิตอาสา ที่ทำหน้าที่ในการสร้างการรับรู้ และสร้างความตระหนัก ถึงพิษภัย และผลกระทบจากการบริโภคยาสูบ 2. เสริม อาทิ เสริมทักษะ เสริมความรู้ความเข้าใจถึงพิษภัย โทษของการบริโภคยาสูบ ให้กลุ่มนักสูบน่าเดิมเข้าสู่กระบวนการ ลด ละ เลิก และป้องกันไม่ให้เกิดนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้น และยังเสริมทักษะให้แก่ทุนทางสังคมที่ทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการควบคุมการบริโภคยาสูบในพื้นที่ เช่น อสม. คนต้นแบบ แกนนำชุมชน เป็นต้น เพื่อให้ทำหน้าที่เป็น นักรณรงค์และขับเคลื่อนในพื้นที่ 3. ส่วนร่วม เป็นปฏิบัติการของการรวมตัว ร่วมกัน เพื่อเสริมพลังซึ่งกันและกันในการขับเคลื่อนงาน อาทิ เครือข่ายผู้นำชุมชนไม่สูบบุหรี่ เครือข่าย อสม.ไร้ควัน เครือข่ายบ้านไร้ควัน กลุ่มเยาวชน รวมถึงร่วมกันกำหนดมาตรการควบคุมในพื้นที่ กำหนดจุดห้ามสูบ อาทิ มาตรการของกลุ่มในชุมชน มาตรการของหน่วยงาน และองค์กร และมาตรการของชุมชน เช่น ห้ามสูบบุหรี่ในงานบุญ กำหนดเงื่อนไขการรับสมัครบุคลากร หรือสมาชิกกลุ่มทางสังคมที่สูบบุหรี่ เป็นต้น โดยการดำเนินการตามกลยุทธ์ทั้ง 3 สิ่งสำคัญคือต้องมีการพัฒนาและนำใช้ข้อมูลในการดำเนินงาน ทั้งข้อมูลสถานการณ์, ข้อมูลประสบการณ์การทำงาน, ข้อมูลแนวโน้ม ความคาดหวัง และข้อมูลทุนทางสังคม
นายมูฮัมหมัด สมะแอ รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส กล่าวว่า การสร้างมาตรการทางสังคมในการควบคุมการบริโภคยาสูบ “มัสยิดลูโบ๊ะบาตูต้นแบบปลอดบุหรี่ 100%” โดยชุมชนร่วมกันกำหนดให้เป็นข้อตกลงของชุมชน โดยมีกลุ่มทางสังคมที่มีความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนร่วมกัน กำหนดมาตรการเพื่อ ลด ละ เลิก บุหรี่ มีผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรมในพื้นที่ โดยมีกติกาที่บังคับใช้ เช่น กำหนดเป็นวาระชุมชน ต้องคุตบะห์ (ปาฎกฐาธรรม วันศุกร์) อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา คณะกรรมการมัสยิดที่ยังสูบบุหรี่ต้องเข้าคลินิกเลิกบุหรี่ 100% ห้ามสูบบุหรี่ต่อหน้าเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และขยายเครือข่ายชวนเลิกบุหรี่ เยาวชนต้นแบบ 1 คน ชวนเพื่อน 1 คน นอกจากนี้ยังมีการบำบัดและฟื้นฟู “ชีฟาอ์ โมเดล” ซึ่งเป็นนวัตกรรมรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพเพื่อเลิกบุหรี่ โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเจ๊ะเก ได้คิดค้นนวัตกรรมเลิกบุหรี่ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เป็นไปตามครรลองของศาสนาอิสลาม และเป็นรูปแบบกิจกรรมที่พัฒนามาจากผลการวิจัยชุมชนประเด็นบุหรี่ในพื้นที่เป็นข้อมูลประกอบกัน กิจกรรมและกระบวนการของการแก้ปัญหาที่ได้ผลจริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มเป้าหมายจะมิใช่เพียงแค่สามารถเลิกบุหรี่ได้ แต่ในตัวกิจกรรมนั้นกลุ่มเป้าหมายจะสามารถยกระดับศรัทธาและศาสนาของตนเองให้ดีขึ้นควบคู่ไปด้วย