เรียนรู้ให้เป็น วิ่งเร็วให้ทัน MIL หลักสูตรรู้ทันสื่อเพื่อครู
เทคโนโลยีในโลกปัจจุบันเรียกได้ว่าวิ่งตามกันแทบไม่ทัน ในแต่ละวันจะมีนวัตกรรม และสิ่งใหม่ๆ ออกมานำเสนอกับคนที่ชื่นชอบความทันสมัยอย่างไม่หยุดหย่อน หลายอย่างที่แค่นิ้วคลิกก็จัดการได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที นับเป็นโลกแห่งนวัตกรรมที่คนบนโลกต้องก้าวตามให้ทัน และสิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เพื่อให้สอดรับกับการดูแลเด็กในยุคหลัง
การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) คือการอ่านสื่อให้ออกเพื่อพัฒนาทักษะในการเข้าถึงสื่อ การวิเคราะห์สื่อ การตีความเนื้อหาของสื่อ การประเมินค่าและเข้าใจผลกระทบของสื่อและสามารถใช้สื่อให้เกิดประโยชน์ได้
แต่ด้วยโลกแห่งเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราจะรู้ทันสื่อเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้!! ต้องรู้สารสนเทศควบคู่ไปด้วย…
การรู้สารสนเทศ (Information Literacy) เป็นส่วนสำคัญพื้นฐานของการเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีการให้การสนับสนุนการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และเมื่อมีการรวมกันระหว่างการรู้เท่าทันสื่อ และการรู้สารสนเทศ จึงเกิดการพัฒนามาเป็นหลักสูตรชื่อ Media and Information Literacy-MIL
ผศ.ดร.พรทิพย์ เย็นจะบกหัวหน้าโครงการ “การจัดทำหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศสำหรับครู” บอกเล่าให้ฟังถึงความสำคัญของการเริ่มโครงการนี้ว่า ปัจจุบันนี้ระบบสารสนเทศในประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันทางยูเนสโกได้จัดทำหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อและการรู้สารสนเทศ (Media and information Literacy-MIL) เพื่อเป็นคู่มือในการเรียนรู้มีความเข้าใจวิธีการทำงานของสื่อ โดยเป็นการบูรณาการองค์ประกอบ 2 ส่วนคือสื่อและสารสนเทศเข้าไว้ด้วยกัน ไทยเองในฐานะประเทศสมาชิกของยูเนสโกก็ได้มีการนำหลักสูตรดังกล่าวมาพัฒนาเป็นคู่มือสำหรับครูในประเทศไทย ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยเอง เพราะครูมีความสำคัญที่จะต้องรู้วิธีการสืบค้น ทราบว่าเว็บไซต์ใดมีความน่าชื่อถือ และพิษภัยของสื่อออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งบทลงโทษทางกฎหมาย ไม่ใช่ใช้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวัตถุประสงค์ โดยเชื่อว่าสิ่งที่ได้รับจากการรู้เท่าทันสื่อนั้น จะสอนให้เด็กไทยรู้จักวิเคราะห์เป็น เพราะปัจจุบันนี้มีสื่อที่ให้ความรู้ผิดๆ ทางด้านสุขภาพอยู่ค่อนข้างมาก รวมทั้งการใช้สื่อของนักการเมือง ที่ควรรู้ถึงผลดีผลเสีย หรือการรับอิทธิพลจากสื่อในต่างประเทศ เป็นต้น เบื้องต้นจะเน้นในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาเป็นพิเศษแก่ 30 โรงเรียน ก่อนขยายไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ
“ระบบสารสนเทศขยายตัวอย่างรุนแรง ขณะที่ยังไม่เกิดเครื่องมือรู้เท่าทันสื่อในประเทศไทย ดังนั้นจึงเกิดการจัดทำเครื่องมือนี้ให้สอดคล้องกับบริบทในประเทศไทย และเป็นการระดมสมองที่จะทำอย่างไรให้ครูไทยสามารถใช้เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือในการสอนสำหรับนักเรียนในโรงเรียน เพื่อที่จะรู้เท่าทันสื่อและใช้สื่อให้เป็น ตอนนี้ทุกประเทศเน้นเรื่องของสื่อไอซีทีสารสนเทศ เพราะเด็กเล่นเกม และเด็กที่ยังไม่ถึงวัยอันควรก็มีโอกาสเข้าไปเล่นเกมที่ไม่เหมาะสม หรือการรับชมเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสมผ่านทางเว็บไซต์ได้ง่าย ซึ่งเราก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันในส่วนนี้ให้แก่เด็กได้รู้จักคิดวิเคราะห์เป็น” ผศ.ดร.พรทิพย์กล่าวและว่า สำหรับองค์ความรู้การรู้เท่าทันสื่อในบริบทของสังคมไทยประกอบด้วย องค์ประกอบ 5 ด้าน คือ การเปิดรับสื่อ การวิเคราะห์สื่อ การเข้าใจสื่อ การประเมินค่าสื่อ และการใช้สื่อให้เกิดประโยชน์
ขณะที่ ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมเสวนา “บทบาทความสำคัญของการขับเคลื่อนหลักสูตร MIL ในประเทศไทย”ในการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการ “การจัดทำหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศสำหรับครู” Thailand Media and Information Literacy (MIL) Curriculum for Teachers Workshop เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ว่า ตามยุทธศาสตร์ของ สสส.มีแผน 10 ปี ที่มุ่งหวังให้คนทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยมีสุขภาวะที่ดี ซึ่งขณะนี้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 72 ปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยอายุของผู้ที่อยู่อย่างมีสุขภาวะอยู่ที่ 62 ปี ดังนั้นเราต้องเพิ่มขีดความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อ เพื่อเลือกรับสื่อและจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ ทั้งนี้แม้แผนของ สสส.จะทำงานในเชิงประเด็นสุขภาพ แต่เราใช้ยุทธศาสตร์เรื่องการสื่อสารเพื่อสังคมรองรับทุกเรื่อง เพื่อให้ประเด็นปัญหาสุขภาพเปลี่ยนแปลงลดลงไป
ดร.วิลาสินี กล่าวต่อไปว่า ในการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ และยูเนสโก เราอยากขับเคลื่อนหลักสูตรนี้ให้คนทุกคนมีความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อได้เอง ซึ่งหากสามารถขับเคลื่อนได้สำเร็จ ก็จะส่งผลให้ทุกคนสามารถคิดวิเคราะห์สื่อเป็น และยังต้องสื่อสารประเด็นที่มีการร้องเรียน เฝ้าระวัง รวมถึงต้องมีช่องทางสนับสนุนให้สังคมรับรู้มากขึ้นด้วย และหลักสูตร MIL จะยั่งยืนได้คือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมอย่างเป็นรูปธรรม
“บทบาทที่ สสส.จะทำได้ คือ มีการรู้เท่าทันเรื่องสุขภาพ ซึ่งขณะนี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญของ สสส.เราจะรวบรวมเครือข่ายและใช้สื่อที่ช่วยกระตุกสังคมเป็นเรื่องๆ เพื่อให้สังคมเกิดความตระหนักเรื่องของการเลือกกินอาหารและใช้เครือข่ายที่มีทำให้สังคมเกิดทักษะที่ดี และสร้างต้นแบบเพื่อให้สังคมเกิดความเชื่อว่าเราทำได้ และขยายต่อไปยังสถานศึกษาในชุมชนต่างๆ รวมทั้งการทำให้ประเด็น MIL อยู่ในกระบวนการของ กสทช.ที่กำลังจะเกิดขึ้น”ดร.วิลาสินีกล่าว
วันนี้เมืองไทยมีหลักสูตร MIL เพื่อครูไทยเกิดขึ้นแล้ว ก็คงได้แต่หวังว่าคู่มือที่ได้จากหลักสูตรนี้ จะเป็นเกราะป้องกันสำคัญให้ตัวเยาวชนไทยในอนาคตวิ่งตามสื่อได้ทัน
เรื่องโดย: สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th