เยือน “ยุวพุทธิกสมาคมฯ” ศูนย์บ่มเพาะเยาวชนด้วยคุณธรรม
ผู้จัดการ สสส. ลงพื้นที่เยี่ยมเพื่อนภาคี “ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” มุ่งกระชับความสัมพันธ์ พร้อมเติมเต็มศักยภาพคนทำงาน
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักพัฒนาภาคีสัมพันธ์ เดินทางสู่เขตภาษีเจริญ เพื่อเยี่ยม ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรทางพระพุทธศาสนา ที่เน้นหลักวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน 4 ให้เกิดศรัทธาและปัญญาแก่ผู้ปฏิบัติ มีนายอนุรุธ ว่องวานิช นายกสมาคม ให้การต้อนรับ
นายอนุรุธ กล่าวว่า ยุวพุทธฯ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2493 เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาสู่เยาวชนและผู้สนใจเข้าร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรม จนถึงปัจจุบันได้เข้าสู่ปีที่ 62 แล้ว และได้มีการพัฒนาสมาคมฯมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากล อาทิ การพัฒนาคุณภาพในการจัดอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน การขยายการวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สู่เยาวชนและสังคมให้ทันสมัยหลากหลายช่องทาง ทั้ง เว็บไซต์ www.ybat.org หรือเฟสบุ๊ค www.facebook.com/ybatpage การสร้างบุคลากรและเครือข่าย และการสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับสมาคม เช่นการเปิดร้านลุมพินีวัน จำหน่ายหนังสือ ซีดีธรรม เสื้อผ้า อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติธรรมทั้งหมด
“ในปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนม์มายุครบ 84 พรรษา ยุวพุทธิกสมาคม ได้มีโอกาสร่วมงานกับ สสส. จัดโครงการที่ชื่อว่า “ตาใน” ขึ้น เพื่อนำเยาวชนระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศจำนวน 8400 คน ฝึก “ปลูกตาใน” และ “เปิดตาใน” เพื่อให้มี “ตาใน” เป็นเพื่อนชีวิต สามารถเห็นถูก คิดถูก ทำถูก รู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นปัญญา เป็นภูมิคุ้มกันชีวิต ในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขตามแบบชาวพุทธ และเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพื่อนเยาวชนด้วยกัน เป็นประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติต่อไป” นายกยุวพุทธิกสมาคม กล่าว
ด้าน ทพ.กฤษดา กล่าวว่า ยุวพุทธิกสมาคมถือเป็นภาคีที่มีการบริหารจัดการองค์กร องค์ความรู้ และบุคลากร ที่เข้มแข็งมาก รวมถึงยังเป็นแหล่งบ่มเพาะเยาวชน ให้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ สร้างคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างแบคทีเรียดีสู่ชุมชน สู่สังคม
“ส่วน สสส.เอง ได้ตั้งสำนักพัฒนาภาคีสัมพันธ์ขึ้นมา เพื่อเป็นหน่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสสส.กับภาคี และระหว่างภาคีกับภาคีด้วยกันเอง รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของคนทำงานในด้านต่างๆ เพราะ สสส.เชื่อว่าเมื่อภาคีเข้มแข็ง คนทำงานเข้มแข็ง ก็จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีไปด้วย นอกจากนี้ อยากจะชักชวนให้ยุวพุทธิกสมาคมมาช่วยฝึกอบรมด้านจิตวิญญาณให้กับภาคีเครือข่ายที่สนใจ เพื่อให้มีธรรมะเป็นภูมิคุ้มกันความเครียดจากการทำงานอีกทางหนึ่ง” ผู้จัดการ สสส.กล่าว
เรื่องโดย: ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน teamcontent www.thaihealth.or.th