เผยพ่อมีเวลาให้ลูกน้อย หวั่นเด็กเกิดเพศที่ 3

แนะบัญญัติ 10 ประการ กับบทบาทพ่อในการช่วยเลี้ยงลูก

 

เผยพ่อมีเวลาให้ลูกน้อย หวั่นเด็กเกิดเพศที่ 3

          เด็กอาจเป็นเพศที่ 3 เพราะขาดแบบอย่าง “สสส.” จับมือ “เอแบคโพล” เผยผลสำรวจพบบทบาทคุณพ่อ ปี 51เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำงานเกิน 8 ชั่วโมง แต่มีเวลาพูดคุยกับลูกเพียงวันละ 50 นาที หมอชี้ พ่อพูดคุยกับลูกน้อยเกินไป หวั่นเกิดเพศที่ 3 สูงขึ้น

 

          ขณะที่เด็กมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงแก้ปัญหามากขึ้น มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ปลอดภัย แนะบัญญัติ 10 ประการ เสริมสร้างบทบาทคุณพ่อในการเลี้ยงบุตร

 

          ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 2 ธ.ค. ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบค โพล กล่าวถึงผลสำรวจบทบาทของพ่อในครอบครัวไทยในปัจจุบันว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างพ่อที่มีอายุ 25-60 ปี จำนวน 1,563 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ย.ที่ผ่านมา

 

          พบว่า 79% พักอาศัยอยู่กับลูก ขณะที่ 21% ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับลูก เนื่องจากต้องเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ  อยู่คนละบ้าน แยกทางกับภรรยา ลูกไปเรียนที่อื่น

 

          ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ผลการสำรวจยังพบว่า พ่อส่วนใหญ่ใช้เวลาทำงานมากกว่า 8 ชม. ถึง 70% ใช้เวลาทำงานไม่เกิน 8 ชม. มีเพียง 30% ขณะที่การใช้เวลาโดยเฉลี่ยในการพูดคุยหรืออยู่กับลูกและครอบครัว ในช่วงวันทำงานใช้เวลาเพียง 50 นาทีเท่านั้น ต่างจากช่วงวันหยุดที่ใช้เวลาถึง 3 ชม.

 

          จากการสอบถามเวลาเฉลี่ยในการทำกิจกรรมประจำวันต่าง ๆ เปรียบเทียบความเป็นจริงกับหากเลือกได้ใน 1 วัน พบว่า พ่อส่วนใหญ่ต้องการลดเวลาการทำงานลง และมีเวลากับครอบครัวให้มากขึ้น

 

          สำหรับ 5 บทบาทที่พ่อได้ปฏิบัติต่อลูกหรือคนในครอบครัวเป็นประจำ ได้แก่

 

          1  การเป็นที่ปรึกษาที่ดีของลูกและคนในครอบครัว

 

          2. พูดคุยและให้กำลังใจลูกและคนในครอบครัวเมื่อเกิดปัญหาขึ้น

 

          3. การเคารพต่อการตัดสินใจของคนในครอบครัว

 

          4. การเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกและคนในครอบครัว

 

          5. ความพร้อมและเป็นผู้ฟังที่ดีของลูกและคนในครอบครัว

 

          นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส. กล่าวว่า บทบาทของพ่อที่หายไปจากครอบครัวส่งผลต่อพัฒนาการเด็กไทยเป็นอย่างมาก

 

          จากการรวบรวมงานการศึกษาวิจัยต่าง ๆ พบว่า พ่อที่ช่วยแม่เลี้ยงลูกในช่วงวัยทารก จะทำให้เกิดต้นทุนชีวิตกับเด็กหลายด้าน นั่นคือ การเรียนรู้จากความวิเศษของพ่อที่มีการสัมผัสลูกที่หยาบกระด้างกว่าแม่

 

          แต่ท่าทีที่มั่นคง แข็งแรง น้ำเสียงที่ใหญ่ จังหวะที่ไม่สม่ำเสมอทำให้ลูกเกิดความตื่นเต้น เร้าใจ และเข้าใจในการเรียนรู้ สร้างให้เกิดความรักความผูกพัน ความไว้วางใจ และมองโลกในแง่ดี รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และปรับตัวเข้ากับสังคมได้ง่าย

 

          นพ.สุริยเดว กล่าวว่า การเลี้ยงดูของพ่อในช่วงปฐมวัย ที่ชอบให้เล่นของแปลกใหม่ ท้า ทาย เล่นหกคะเมน สร้างสิ่งกีดขวางแบบง่ายๆ ให้ลูกหัดแก้ปัญหา จะทำให้เด็กเกิดความพยายามในการค้นพบและท้าทายสิ่งแปลกใหม่

 

          เด็กเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ความเป็นนักวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สูง เพราะเกิดทักษะในการวางแผน การแก้ปัญหา และเกิดทักษะในการควบคุมอารมณ์

 

          สำหรับช่วงวัยเรียน พ่อมักจะสร้างแนวคิดคร่าวๆ และปล่อยให้ลูกเป็นคนแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง รวมทั้งการเห็นบุคลิกที่ดีของพ่อ เช่น พ่อมักเป็นผู้รับฟังที่ดีของลูก ทำให้เด็กรู้จักการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และจะรู้จักใช้ความเพียรพยายามสู่ความสำเร็จมากกว่าการพึ่งโชคลาง

 

          ในช่วงวัยรุ่น บุคลิกของพ่อบวกกับสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ทำให้เกิดแรงศรัทธาในตัวพ่อว่าเป็นฮีโร่ และจะเกิดแรงบันดาลใจสู่เด็กที่จะพยายามทำตัวให้ดีกว่า

 

          ส่วนวัยรุ่นหญิง มักจะเก็บบุคลิกของพ่อไว้ในความทรงจำ ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกคู่ครองหรือการคบเพื่อนต่างเพศ ลดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และยังทำให้วัยรุ่นจะเกิดพัฒนาการที่เหมาะสมกับเพศและวัย โอกาสเสี่ยงของการเกิดเพศที่สามก็จะลดลง

 

          หากพ่อลดบทบาทในการเลี้ยงดูลูกลง ทำให้พบปรากฏการณ์ในสังคมที่เกิดขึ้น คือ 1. เกิดเพศที่สามสูงขึ้น เพราะขาดความเข้าใจและขาดแบบอย่าง 2. เด็กมีแนวโน้มใช้ความรุนแรง  ในการแก้ไขปัญหา เพราะขาดทักษะการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี และ 3. ขาดทักษะในการดำเนิน ชีวิตในสังคมประกอบกับขาดความรักที่สมบูรณ์แบบทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น คือฟันแล้วทิ้ง และมีเซ็กส์ที่ไม่ปลอดภัยนพ.สุริยเดว กล่าว

 

          ด้าน พญ.ชนิกา ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 4 สสส. กล่าวว่า ทักษะการเลี้ยงลูกของพ่อที่กำลังหายไปส่งผลกระทบต่อเด็กโดยตรง จึงอยากเสนอบัญญัติ 10 ประการกับบทบาทพ่อในการช่วยเลี้ยงลูก คือ

 

          1. การให้ความรักและความอบอุ่น ความปลอดภัยในบ้าน

 

          2. เป็นแบบอย่างที่ดี

 

          3. ให้เวลากับครอบครัว

 

          4. ให้คำแนะนำ ทักษะด้านต่าง ๆ แก่สมาชิก

 

          5. สร้างกิจกรรมยามว่างที่สนุกกับสมาชิกในบ้าน

 

          6. เปิดโอกาสและเป็นผู้รับฟังที่ดี

 

          7. การสร้างโอกาสการเรียนรู้นอกหลักสูตร

 

          8. การช่วยงานบ้านด้วยกัน

 

          9. เคารพกติกาและการตัดสินใจของสมาชิก

 

          10. สร้างการมีส่วนร่วมในการกำหนดวินัยในบ้าน

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

update 03-12-51

Shares:
QR Code :
QR Code