เปิดห้องเรียนพ่อแม่
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
จัดโครงการ "สิ่งเล็กๆ ที่สร้างลูก" หัวข้อ ห้องเรียนพ่อแม่ ตอน เข็นเด็กนอกบ้าน
เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดโครงการ "สิ่งเล็กๆ ที่สร้างลูก" หัวข้อ ห้องเรียนพ่อแม่ ตอน เข็นเด็กนอกบ้าน ให้เป็นคนปกติ โดยภายในงานได้มีการบรรยาย เสวนาและกิจกรรมต่างๆ จากคุณหมอ เจ้าของเพจเฟซบุ๊กเลี้ยงลูกชื่อดังไม่ว่าจะเป็น นพ.อัศวิน พญ.พรพิมล นาคพงศ์พันธุ์ (หมอตั้ม หมอก้อย) จากเพจเลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ, พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร (หมอโอ๋)จากเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน, พญ.เบญจพร ตันตสูติ (หมอมินบานเย็น) จากเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา ให้คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจได้เข้าร่วมกิจกรรม
นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ผู้ปกครองมีหน้าที่การงานที่ต้องทำงานนอกบ้านทั้งคู่ จึงต้องฝากเรื่องการเลี้ยงดู และการเสริมสร้างพัฒนาการของเหล่าลูกๆ ให้เป็นหน้าที่ของสถาบันพัฒนาการเด็ก ทำให้เด็กใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์เกมคอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย ตั้งแต่วัยแรกเกิด ถึงอายุ 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดที่เด็กจะเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์มีทักษะและพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างเต็มศักยภาพ
"การเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก พ่อแม่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุด เพราะเป็นคนที่ใกล้ชิดและใช้เวลากับลูกมากที่สุด ถ้าพ่อแม่มีความเข้าใจในการเสริมสร้างพัฒนาการให้กับลูกด้วยการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด ด้วยกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่เกิดจากความใส่ใจของพ่อแม่ ก็จะเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกในวันข้างหน้า สสส. ตระหนักถึงความสำคัญ และเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้ปกครองแต่ละท่านในการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ให้แก่เหล่าลูกๆ จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายต่างๆ จัดโครงการ สิ่งเล็กๆ ที่สร้างลูกในวันนี้ขึ้นมา" ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กล่าว
ทางด้าน พญ.เบญจพร ตันตสูติ (หมอมินบานเย็น) เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก "เข็นเด็กขึ้นภูเขา" กล่าวถึงเรื่องการเข็นเด็กยุคไซเบอร์ว่า ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หรืออินเตอร์เน็ต พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะมีความรู้ในเรื่องพัฒนาการของเด็กๆ และก็ควรรู้ว่าเด็กวัยไหนควรจะรับสื่ออย่างไรถ้าเป็นเด็กเล็กมากควรพร้อมจะรับสื่อหรือยัง หรือถ้าเป็นเด็กโตก็ต้องรู้ว่าควรรับสื่ออย่างไรถึงจะเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น จากงานวิจัย เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ สมองและระบบประสาทของเขายังไม่พร้อมรับสื่อประเภทดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆ เด็กควรได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากประสบการณ์จริง ผ่านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้ดูแล และผ่านการพูดคุยเล่นด้วยกัน ร้องเพลง เต้นรำ เป็นต้น
"อีกหนึ่งสิ่งสำคัญมากในการเลี้ยงดูเด็ก คือการชื่นชมหรือดุว่ากล่าวตักเตือน จากประสบการณ์มักจะพบเห็นพ่อแม่ที่ถนัดในการดูว่าลูกๆ มีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง เพื่อจะแนะนำไปสู่การปรับปรุงพฤติกรรมลูกให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นความหวังดีแต่บางทีกลายเป็นการตำหนิไปทุกจุด ไม่ค่อยที่จะชมลูก หรือบางทีชมไม่ถูกจุดก็มี แต่ถ้าจับผิดบ่อยๆ ลูกก็อาจจะเบื่อ พาลให้คุยกันไม่เข้าใจ ไม่อยากคุยกับพ่อแม่ก็ได้ การเลี้ยงลูกก็เหมือนการปลูกต้นไม้ นอกจากการตัดแต่งกิ่งแล้ว การรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ก็มีความสำคัญตรงนั้นก็เปรียบเหมือนกับคำชมเชยทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ เวลาเห็นสิ่งที่ลูกทำไม่ถูก แน่นอนพ่อแม่ต้องตักเตือน แต่เมื่อพ่อแม่เห็นสิ่งที่ลูกทำได้ดีและเหมาะสม พ่อแม่ก็สมควรจะต้องชี้ให้ลูกเห็นว่าลูกทำดีเช่นกัน ซึ่งคำชมเชยนั้นจะต้องประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1.คำชมเชย 2.พฤติกรรมที่เราเห็นว่าดีและอยากให้เกิดมากขึ้น 3. ผลกระทบทางบวกที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมนั้น เช่น ลูกมีความพยายามดีมากขนาดการบ้านมีเยอะตั้งหลายหน้า ลูกก็นั่งทำจนเสร็จ แม่ชื่นใจจังเลย การชมเชยแบบนี้มีผลทำให้ลูกมีแนวโน้มจะทำการบ้านให้เสร็จต่อไปในทุกๆ วัน" หมอมินบานเย็น กล่าว
หมอมินบานเย็น ยังกล่าวอีกว่า รู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมมาบรรยาย และรู้สึกเป็นเกียรติที่ทาง สสส.เชิญมาวันนี้ เพราะเรื่องการเลี้ยงลูกดูแลลูก เป็นสิ่งที่อยากให้คนในสังคมให้ความสำคัญเนื่องจากเด็กๆ คือประชากรที่จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ของสังคม สสส.จัดโครงการนี้ขึ้นมาเป็นโครงการที่ดี เพราะพ่อแม่ในปัจจุบันการเลี้ยงลูกในยุคนี้มาไม่ได้ง่ายเลย เนื่องจากมีสื่อต่างๆ และปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้การเลี้ยงลูกมันยากขึ้น ยังไม่รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และการแข่งขันต่างๆ แล้วการที่มีการจัดห้องเรียนนี้ขึ้นมา ทำให้พ่อแม่ได้มีที่เรียนรู้และแหล่งข้อมูล หรือเวลาสงสัยอะไรก็สามารถมาสอบถามได้
เพื่อความสุขพ่อแม่ลูกและครอบครัว สสส. พร้อมส่งเสริมโดยในวันที่ 26 ส.ค. นี้ พบกับมหกรรม SOOK Festival ที่รวบรวมกิจกรรมสุดฮอตที่พร้อมจะสร้างเสริมสุขภาวะไม่ว่าคุณจะเป็นคนทำงาน ผู้สูงอายุ คุณพ่อคุณแม่ หรือน้องๆ วัยเรียนติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่www.thaihealth.or.th/sook หรือwww.facebook.com/SOOK สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID: @SOOK หรือโทร 08-1731-8270 หรือ0-2343-1500 กด2