เปิดมุมมองเพศหลากหลายในโลกลื่นไหล
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
ในสังคมที่มีความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ย่อมไม่แปลกอะไรที่จะมีความหลากหลายทางเพศ ในงานประชุมระดับชาติเรื่องสุขภาวะทางเพศครั้งที่ 2 หัวข้อ "เซ็กส์เปิดในวัยรุ่น : เปิดพื้นที่เพิ่มความฉลาดรู้ทางเพศ"
โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ดึง 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานเพื่อนำไปพัฒนาสู่นโยบายและมาตรการลดปัจจัยเสี่ยงส่งเสริมสุขภาวะทางเพศในวัยรุ่น
หัวข้อเรื่อง 'เพศหลากหลายในโลกลื่นไหล' เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง เนื่องจากปัจจุบันสังคมเปิดกว้างเรื่องเพศมากยิ่งขึ้น แต่บางครอบครัวก็ยังคงเป็นเรื่องลำบากใจไม่ใช่น้อย ที่ยังไม่อาจยอมรับลูกหลานที่มีความหลากหลายทางเพศได้ โดยพยายามที่จะหาหนทางในการเยียวยารักษาให้ลูกกลับมาเป็นเพศปกติดังเดิม
พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์ เวชศาสตร์วัยรุ่น ผู้ก่อตั้งคลินิกเพศหลากหลายในวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เล่าว่า คลินิกเพศหลากหลายในวัยรุ่นเกิดขึ้นมาจากการที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองมีความทุกข์จากเรื่องเพศที่หลากหลายของคนในครอบครัวแล้วเข้ามาปรึกษา เช่น การมีลูกเป็นตุ๊ด ทอม สิ่งที่พบเห็นได้ชัดเจน คือ ครอบครัวที่มีลูกเป็นกลุ่มชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง พ่อแม่ส่วนใหญ่ยังไม่เปิดกว้าง คิดเฉพาะว่าลูกเราต้องเป็นชายหรือหญิงเท่านั้น และสังคมก็ได้สร้างความเชื่อว่า คนมีจู๋ต้องเป็นชาย คนมีจิ๋มต้องเป็นหญิง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มคนดังกล่าวอาจมีสภาพจิตใจไม่ตรงกับเพศสภาพที่เขามีอยู่
ผู้ก่อตั้งคลินิกเพศหลากหลายในวัยรุ่น เล่าว่า พ่อแม่ที่มีลูกและมีจิตใจที่ไม่ตรงกับเพศสภาพของตนเองที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนมากจะมีความทุกข์ใจ และไม่สามารถสื่อสารให้เข้ากับลูกได้ เนื่องจากพ่อแม่เหล่านั้นยังถูกปิดกั้นด้วยความเชื่อทางสังคม อยากให้ลูกของตนเองเป็นเหมือนคนอื่น ดังนั้น พ่อและแม่ควรทำความเข้าใจว่า เรื่องเพศของมนุษย์มีความหลากหลาย และเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ อยากให้พ่อแม่เข้าใจถึงความแตกต่างทางเพศของลูกแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งในบางครอบครัวอาจจะต้องอาศัยคนกลางส่งต่อความรู้ว่า จริงๆ แล้วมนุษย์มีความหลากหลายทางเพศ พ่อแม่ต้องมีองค์ความรู้มากขึ้น และต้องสร้างความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และตระหนักว่าความหลากหลายทางเพศไม่สามารถมีสิ่งใดมาควบคุมได้
"การสร้างความเข้าใจ สังคมต้องเปิดกว้าง บางครอบครัวไม่สามารถยอมรับหรือทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ในหลายประเทศเปิดกว้างมากขึ้น ยอมรับทั้งทางด้านสังคมและกฎหมาย ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุข ซึ่งในอนาคตประเทศไทยอาจจะมีการเปิดกว้างด้านกฎหมายแก่กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศเพิ่มขึ้นก็เป็นไปได้" พญ.จิราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับตัวแทนวัยรุ่นข้ามเพศ 'มิน' อายุ 17 ปี ที่คุณพ่อได้พามารับฮอร์โมนข้ามเพศที่คลินิกเพศหลากหลายในวัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี เล่าประสบการณ์ตรงว่า ตอนเด็กๆ ที่บ้านก็เลี้ยงดูแบบเด็กผู้หญิงทั่วไป สมัยอนุบาลยังไม่เข้าใจว่าความต่างของผู้ชายและผู้หญิงคืออะไร ทำไมมีชุดนักเรียนสองแบบ มีกระโปรงกับกางเกง สงสัยว่าเพื่อนผู้ชายยืนฉี่แล้วทำไมเราถึงยืนฉี่ไม่ได้ พอโตขึ้นมาก็ไม่ชอบพูดคำว่า ค่ะ จนที่บ้านและคุณครูถามว่าทำไมถึงพูดไม่มีหางเสียง ไม่ชอบใส่กระโปรง ชอบเล่นแบบผู้ชาย เริ่มมารู้ตัวจริงๆ ตอนอยู่ประถมปลายเพราะชอบเพื่อนผู้หญิงในห้อง ตอนนั้นเครียดมาก ปรึกษาใครก็ไม่ได้ พ่อแม่ก็ไม่กล้าบอก เพราะสังคมหล่อหลอมว่าถ้าเป็นแบบนี้จะอยู่ในสังคมยาก
มิน เล่าต่อว่า หลายคนบอกว่าเป็นทอม แต่เรากลับรู้สึกว่าตัวเราเองเป็นผู้ชายไม่ใช่ทอม จึงตัดสินใจสารภาพกับพ่อว่า เราชอบเพื่อนผู้หญิงแบบที่เป็นแฟน แต่พ่อกลับไม่ได้ว่าอะไร เพราะมองว่าโตขึ้นอาจจะเปลี่ยนแปลงกันได้ ซึ่งก็เคยมีช่วงหนึ่งที่เราพยายามเปลี่ยนแปลงแล้ว คือ ลองหันไปเล่นบาร์บี้ ใส่กระโปรง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเรื่องพวกนี้ไม่สามารถหายขาดได้ เป็นแล้วเป็นเลย โชคดีที่คุยกับคุณพ่อได้ทุกเรื่อง จึงบอกคุณพ่อว่า เรามั่นใจแล้วว่าอยากจะเป็นผู้ชายแบบสมบูรณ์ จึงเริ่มสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเทกฮอร์โมน และผลข้างเคียงต่างๆ มาให้คุณพ่อพิจารณา จนในที่สุดมาเจอที่ รพ.รามาธิบดี ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของคุณหมอ จึงมั่นใจในความปลอดภัย
"มินว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา ช่วงแรกครอบครัวก็ยังไม่เห็นด้วย แย้งกันต่างๆ นานา ต้องค่อยๆ ให้เขาซึมซับไปดีกว่า ตอนนี้สังคมเปิดกว้างมากขึ้น ในเมื่อเราเป็นแบบนี้ เราต้องพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิม ทั้งการเรียน การทำงาน เพื่อพิสูจน์ว่าการที่เราเป็นแบบนี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร" มินเล่าความรู้สึก
จะเห็นได้ว่า ผู้ปกครองควรสร้างพื้นฐานความเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น เพราะพ่อแม่ต้องเป็นคนแรกที่กล้าลุกขึ้นมายอมรับลูก เพื่อเป็นแรงผลักดันสนับสนุนให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป