เปลี่ยนเด็กน้อยให้ ‘กิน’ อย่างเชฟ

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


เปลี่ยนเด็กน้อยให้ 'กิน' อย่างเชฟ thaihealth


เชื่อกันว่าถ้าอยากให้เด็กมีสุขภาพที่ดี ก็ต้องเริ่มจากอาหารที่ดีด้วย แต่ถ้าเป็นเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแล้ว นอกจากอาหารดีแล้ว ครูต้องมีทักษะและความรู้มากพอที่จะเลือกอาหารที่ดีให้กับเด็ก


ดังนั้น การพัฒนาทักษะและเพิ่มองค์ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการให้กับครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เครือข่ายกินเปลี่ยนโลก อยากจะเข้าไปดำเนินการ "เปลี่ยน" ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหลายแห่ง จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำโครงการเชฟน้อยกินเปลี่ยนโลก โดยยึดหลักการที่ว่าอาหารดีอยู่ที่ไหน ครูก็ต้องค้นหาเพื่อนำมาให้เด็กได้เรียนรู้และรับประทาน ก่อนจะขยายต่อยอดไปสู่ชุมชนและผู้ปกครอง


ครูแอน – ศศิธร คำฤทธิ์ นักการละครและนักปฏิบัติการด้านอาหาร เครือข่ายแผนงานกินเปลี่ยนโลก กล่าวว่า ในการปรุงอาหารแต่ละครั้ง หากครูเป็นคนปรุงอาหารกลางวันให้กับเด็ก ครูจะใส่ทุกซอส แล้วอะไรที่อยู่ในซอส ซึ่งนี้คือสาเหตุที่ทำให้เด็กสมัยนี้ ก็เป็นโรคไตกันมากขึ้นการทำให้ครูเข้าถึงข้อมูลความรู้เหล่านี้ ทำให้ครูต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน แล้วจึงจัดกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงอาหารเด็กตามไปด้วยการติดอาวุธทางปัญญา ให้ทักษะ ความรู้กับครู จึงสำคัญมาก เพราะเด็กไม่ได้หากินเอง เขากินตามที่ผู้ใหญ่จัดวางไว้ให้


"ในกระบวนเปลี่ยนความคิดของครูใช้กระบวนการละคร เพราะอยากให้ครูได้แสดงออก พูดอย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าใช้วิธีระดมกันพูด ก็จะได้รูปแบบเดิม ว่าโรงเรียนของตนเองให้เด็กกินอาหารครบ 5 หมู่ แถมมีของว่างด้วย แต่ลึก ๆ แล้วต้องการรายละเอียดมากกว่านั้น ว่านมเปรี้ยวหรือขนมปังที่ให้เด็กกินนั้น มีอะไรเป็นส่วนประกอบ ซอสปรุงรสมีผลอะไรต่อร่างกายเด็ก เป็นต้น


การอธิบายความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นอาหารปลอดภัย ตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ให้ทดสอบ และทดลองเองว่า ผักที่นำมาปรุงอาหาร และผลไม้ที่นำมาให้เด็กกินทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ มีสารปนเปื้อนแค่ไหน ทำให้ครูได้เห็นกับตา ได้ปลูกกับมือ และได้ปรุงซุปแบบที่ตัวเองทำประจำ ซึ่งปรุงรสไว้มากมาย พอมองเห็นภาพจริงแล้ว ก็ค่อยพูดเรื่องเครื่องปรุงเป็นลำดับต่อไป" ครูแอนกล่าว


เปลี่ยนเด็กน้อยให้ 'กิน' อย่างเชฟ thaihealth


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พบหลังจากผ่านกระบวนการนี้ไปแล้ว คือ จากการตรวจเลือดครู พบว่า ในครู 70 คน มีปลอดภัยแค่ 1 คน ส่วนที่เหลือเสี่ยง และเสี่ยงที่สุดมีสารเคมีตกค้างในเลือดปริมาณสูงมากฉะนั้นครูต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน


ครูแอน อธิบายต่อว่า อีกกระบวนการหนึ่งที่โครงการนี้นำมาใช้ เพื่อเปลี่ยนการกินในครูและเด็ก คือการออกแบบโดยใช้กิจกรรมเชิงนิเวศวิทยาไปค้นหาอาหารในระบบนิเวศธรรมชาติ ว่าแหล่งอาหารมาจากไหน แปลงปลูกใช้สารเคมีหรือระบบอินทรีย์ โดยให้ครูวาดรูป แล้วครูก็จะพูดคุยกันว่า ทางออกคืออะไร อยากเพิ่มพื้นที่ปลูกตรงไหน ให้ครูวาดลงไป จะทำให้ครูมองเห็น ภาพปะติดปะต่อให้เป็นภาพจริงแล้วทางโครงการจะเข้าไปสนับสนุนเรื่องเมล็ดพันธุ์ ความรู้ ทักษะการบำรุงดิน เพื่อให้เด็กไทยได้กินอาหารที่มาจากธรรมชาติ


"ยอมรับว่าการขับเคลื่อนเรื่องอาหารปลอดภัยค่อนข้างยาก ไม่ใช่ทุกศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนจะทำได้ การมีแหล่งอาหารที่ปลอดภัย นั่นหมาย ความว่า เราไม่ได้ทำงานคนเดียว หรือครูก็ไม่ได้ทำงานคนเดียว ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกับสมาชิกของเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ด้วยบูรณาการกันทั้งชุมชน ลำดับแรกโรงเรียนหรือ ศพด.ต้องค้นหาแหล่งอาหารปลอดภัยหรือเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ได้ก่อน แล้วทางแผนงานจะเป็นตัวกลางช่วยประสานงานให้ หรือจัดกิจกรรมให้" ครูแอน กล่าว


ที่สำคัญในการเรียนการสอน หรือสื่อสารกับเด็ก ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากถ้าสอนโดยบังคับให้เด็กทำ หรือจัดกระบวนการแบบไม่ถามเด็กว่าวันนี้อยากกินอะไร วันพรุ่งนี้หนูอยากทำขนมอะไร จะกลายเป็นเมนูของครู ขณะที่เด็กไม่ค่อยตอบสนอง ดังนั้นถ้าเราอยากมีส่วนร่วมกับเด็กก็ต้องสื่อสารกับเด็กด้วยวินัยเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ด่า ไม่ตี ไม่ใช้เสียงที่รุนแรงกับเด็ก แล้วให้เด็กมีส่วนร่วมในการออกแบบเองด้วย


เปลี่ยนเด็กน้อยให้ 'กิน' อย่างเชฟ thaihealth


ด้าน นางสมศรี คำฝั้น หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองแสะ ต.ห้วยทรายอ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า ศพด.ได้ร่วมอบรมโครงการเชฟน้อยกิน เปลี่ยนโลกและนำความรู้มาใช้บริหารจัดการอาหารกลางวันให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่แม่ครัว ผู้ปรุงที่ได้รับสัมปทาน ครู เกษตรกร ชุมชน มาร่วมเรียนรู้ทั้งในเรื่องของสารเคมีในผักผลไม้หลักโภชนาการ พิษภัยที่แฝงในเครื่องปรุงรสต่าง ๆ โดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทดสอบ ทดลอง และอ่านฉลากอาหาร เพื่อให้รู้เท่าทันในการเลือกใช้


"หลังจากนั้น ศพด.ได้กำหนดมาตรฐานของวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการปรุง โดยเชื่อมประสานกับชุมชน เกษตรกรในพื้นที่พร้อมทั้งปรับเมนูให้เหมาะสม เน้นใช้ผักพื้นบ้าน และเนื่องจากศูนย์มีพื้นที่น้อยการทำเกษตรในโรงเรียนไม่เพียงพอ แม้จะมีการปลูกพืชผักสวนครัว ผักยืนต้นผลไม้ รวมถึงการเพาะเห็ด เพื่อส่งเข้าโรงครัว จึงได้ใช้วิธีฝากปลูกที่บ้าน เมื่อผลผลิตเติบโต ผู้ปกครองก็จะนำมาให้ทางโรงเรียนใช้ประกอบอาหารด้วย ขณะเดียวกันยังได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ มีชั่วโมงให้เด็กได้ทดลองทำอาหารจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น บัวลอยดอกอัญชัน ขนมถั่วแปบสีจากใบเตย ขนมครก ขนมปังหน้า หมูรวมถึงนำละครจากโรงเรียนเด็กโต มาเล่นให้เด็กเล็กดู และการฝึกทักษะด้านการเกษตร แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืช หรือกิ่งพันธุ์ให้เด็กๆ และผู้ปกครองนำไปปลูกที่บ้าน ซึ่งถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการส่งต่อความรู้ไปสู่ผู้ปกครอง" นางสมศรี กล่าว


นับว่าการขับเคลื่อนอาหารปลอดภัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียนมีตัวแปร และปัจจัยหลายอย่าง ที่จะทำนำไปสู่ความสำเร็จหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้ คือความท้าทายของคนทำงาน ที่ต้องมองปัญหาให้ทะลุ และแก้ไขให้ตรงจุดเพื่อให้สามารถขับเคลื่อน หรือขยายพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Shares:
QR Code :
QR Code