เตือนอาหารให้พลังงานสูง อ้วนง่าย เป็นเบาหวานเร็ว
ลดหวาน-มัน-เค็ม เพิ่มผักผลไม้-ออกกำลังกาย
สำรวจพบอาหารยอดนิยมคนไทย 9 ชนิดให้พลังงานสูงปรี๊ด กล้วยทอดอันดับ 1 ปาท่องโก๋ ขนมปังไส้ครีม กุนเชียง โดนัท ข้าวเกรียบ หมูยอ แครกเกอร์ เฟรนช์ปรายด์ ตามลำดับเตือนกินบ่อย อ้วนง่ายเป็นเบาหวานเร็ว ล่าสุดเด็กไทยป่วยเป็นเบาหวาน 9 หมื่นคน สาเหตุมาจากการกิน ชี้หากป่วยตั้งแต่เด็ก อายุจะสั้นลง 10 – 20 ปี
นพ.ณรงค์ศักด์ อังคะสุพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการประเมินกระแสการบริโภคของคนไทยในปัจจุบัน พบว่ามีค่านิยมต่างไปจากอดีตมาก มักนิยมกินเนื้อสัตว์เปล่าๆ ตามคนตะวันตก ชอบอาหารสำเร็จรูปโดยสถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลได้สำรวจการบริโภคอาหารของคนไทยทั่วประเทศในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา พบมีอาหารยอดนิยมซึ่งล้วนให้พลังงานสูง 9 ชนิด อันดับ 1 ได้แก่ กล้วยทอด นิยมร้อยละ 58 อันดับ 2 ปาท่องโก๋นิยมร้อยละ 55 อันดับ 3 ขนมปังไส้ครีม นิยมร้อยละ 54 อันดับ 4 กุนเชียง ร้อยละ 46 อันดับ 5 โดนัท ร้อยละ 43 อันดับ 6 และ 7 ข้าวเกรียบ/ข้าวอบกรอบ หมูยอ นิยมร้อยละ 42 อันดับ 8 ขนมปังแครกเกอร์ ร้อยละ 39 และอันดับ 9 เฟรนซ์ฟรายด์ นิยมร้อยละ 28
นพ.ณรงค์ศักดิ์กล่าวต่อว่า ส่วนประกอบหลักของอาหารดังกล่าว ได้แก่ แป้ง น้ำตาลและไขมัน หากกินบ่อย ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก จะทำให้อ้วยง่ายเนื่องจากมีพลังงานสูง โดยเฟรนช์ฟรายด์ให้พลังงานสูงที่สุดถึง 296 กิโลแคลอรี รองลงมาคือ กล้วยทอด ให้พลังงาน 251 กิโลแคลอรี หมูยอ ให้พลังงาน 240 กิโลแคลอรี ขนมปังไส้ครีม ให้พลังงาน 193 กิโลแคลอรี โดนัท 185 กิโลแคลอรี กุนเชียง 178 กิโลแคลอรี ปาท่องโก๋ 176 กิโลแคลอรี เมื่อพิจารณาเฉพาะคน กทม.พบว่านิยมกินปาท่องโก๋มากที่สุด ร้อยละ 60 รองลงมาคือขนมปังไส้ครีม กล้วยทอด โดนัท แครกเกอร์ในการกินอาหารกลุ่มนี้ ควรกินแต่พอเหมาะและไม่ควรกินเกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
สำหรับการปรับพฤติกรรมในกลุ่มเด็กและเยาวชนวัยเรียน ปีนี้กรมอนามัยได้รณรงค์ให้มีการออกกำลังกายหลังเคารพธงชาติก่อนเข้าเรียนทุกวัน วันละ 30 นาที ประมินสุขภาพปีละ 2 ครั้ง ส่งเสริมให้เด็กกินผักผลไม้แทนขนม ไม่กินจุบจิบ ไม่ดื่มน้ำอัดลมซึ่งมีน้ำตาลมากถึง 8-11 ช้อนชา กินผลไม้รสหวาน นานๆ ครั้ง ไม่สะสมขนมขบเคี้ยว หรือ ขนมกรุบกรอบไว้ในบ้าน และขอความร่วมมือผู้ปกครองให้จำกัดเวลาเล่นคอมพิวเตอร์ ดูทีวีของเด็ก ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง
ด้าน นพ.ปราชย์ บุณยวงบศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้โรคเบาหวานกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ทวีความรุนแรงทั่วโลก แนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเกิดในเด็กและเยาวชนมากขึ้นในปี 2550 พบผู้ป่วย 246 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 1 คนทุกๆ 5 วินาที เสียชีวิตปีละเกือบ 4 ล้านคน ใกล้เคียงกับการตายจากโรคเอดส์ และที่น่าห่วง มีเด็กป่วยด้วยเบาหวานที่เกิดจากพฤติกรรมเพิ่มขึ้นวันละ 200 คน ซึ่งจะภาระต่อสังคมในระยะยาวทั้งค่ารักษาและโรคแทรกซ้อนที่ตามมา ซึ่งโรคนี้หากป่วยตั้งแต่อายุยังน้อย จะทำให้ชีวิตสั้นลงโดยเฉลี่ย 10 – 20 ปี
นพ.ปราชญ์กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย ในปี 2550 มีผู้ป่วยเบาหวานเข้ารักษาในโรงพยาบาลทั่วประเทศเกือบ 4 แสนราย เสียชีวิตปีละเกือบ 8,000 ราย สาเหตุกว่าร้อยละ 80 ไม่ใช่จากกรรมพันธุ์เหมือนในอดีต แต่เกิดจากพฤติกรรม เช่น กินอาหารหวาน มัน กินขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน อาหารสำเร็จรูปขาดการออกกำลังกาย นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นจากการศึกษาผู้ป่วยเบาหวานที่รับการรักษาในสถานพยาบาล 11 แห่ง ใน กทม.หาดใหญ่ เชียงใหม่ นครราชสีมา จำนวน 9,419 ราย พบเป็นเด็กและวัยรุ่น 250 ราย ในจำนวนนี้ร้อยละ 18 เป็นเบาหวานที่ป้องกันได้ ซึ่งเดิมเคยพบเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้น สาเหตุมาจากความอ้วนโดยขณะนี้เด็กไทยอ้วนประมาณ 15 ล้านคน มากที่สุดใน กทม.พบได้ทุก 1 ใน 10 คน รองลงมาคือภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีเด็กป่วยเบาหวานแล้ว 90,000 ราย
“ในการป้องกันควบคุมโรค ในปี 2552 สธ.มีนโยบายเน้นการป้องกันไม่ให้คนป่วยเพิ่ม คือ ให้ทุกจังหวัดรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดกินหวาน มัน เค็ม เพิ่มกินผัก ผลไม้ และออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30 นาทีเน้นหนักในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ในนส่วนของผู้ที่ป่วยแล้ว ได้ตั้งคลินิกเบาหวานในโรงพยาบาลศูนย์สุขภาพชุมชนทุกแห่ง รวมทั้งค้นหาผู้ป่วยโรคเบาหวานให้เข้าสู่ระบบบริการมากที่สุดให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ตาบอด ไตวาย อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด ถูกตัดนิ้วมือ – เท้าจากแผลเรื้อรังซึ่งปัจจุบันมีผู้รู้ตัวว่าป่วยและเข้ารับรักษาเพียงร้อยละ 43 เท่านั้น” นพ.ปราชญ์กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
update 24-11-51