“อ่าน”…เครื่องมือสร้างสุขราคาย่อมเยา
พอเอ่ยถึงวันภาษาไทยแห่งชาติ หลายคนอาจทำหน้างง สงสัย ว่ามีวันนี้ด้วยหรือ?? ซึ่งมันตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี สาเหตุที่ต้องมีวันนี้เนื่องมาจากต้องการกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไปแต่ปัจจุบันดูเหมือนมันจะไม่เป็นไปอย่างนั้น….
เมื่อข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งล่าสุด ระบุว่า เด็กและเยาวชนใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 39 นาที เดิมเคยใช้เวลาอ่านเฉลี่ยวันละ 50 นาที ส่วนจำนวนคนที่ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือยังลดลงประมาณ 3% นี่ยังไม่รวมถึงพวกที่ชอบใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนอีก ทั้งหมดถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก….
นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน บอกกับเราว่า การอ่านถือเป็นการสร้างปัญญาให้แก่ผู้อ่านและสังคม เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสุขภาวะในทุกๆ ด้านของคนเรา แต่ยังไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่านี่ควร ด้วยเหตุนี้แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน จึงมุ่งเน้นที่จะให้คนไทยเกิดการรักการอ่านอย่างยั่งยืน วิธีการไม่ใช่เป็นเพียงแค่การฝึกทักษะหรืออะไรๆ แบบที่เคยมีมา เพราะเราค้นพบแล้วว่า หากเราจะทำให้คนไทยหันมาอ่านหนังสือเป็นนิสัย ต้องอาศัยการอ่านที่ผู้อ่านได้รับความสุข ความเพลิดเพลินในเบื้องต้น แล้วจึงยกระดับความเพลิดเพลิน เป็นเจริญปัญญาแล้วมันจึงจะนำมาซึ่งสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ไปเป็นขั้นๆ ไป
หากจะมองไปถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้เยาวชนไทยอ่านหนังสือน้อยลงนั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในปัจจุบันที่เข้ามามีบทบาทแทนที่เวลาว่างของเยาวชนทั้งหลาย เพราะจากข้อมูลพบว่า ในแต่ละวันเยาวชนใช้เวลาดูโทรทัศน์วันละ 3-6 ชั่วโมง เล่นเกมวันละ 1-2 ชั่วโมง และพูดคุยโทรศัพท์ แชทผ่านทางมือถือถึงวันละ 2-4 ชั่วโมง โดยที่เวลาของการอ่านหนังสือกลับลดลง หากปล่อยปัญหานี้ทิ้งไว้ เยาวชนไทยรุ่นหลังๆ มีหวังอ่านหนังสือไม่เป็นแน่ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ กุญแจสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ผู้เป็นพ่อแม่ โดยผู้จัดการแผนงานฯ บอกต่อว่า สื่อที่ต้องอ่าน มักจะต่างจากสื่ออื่นๆ อย่าง วิทยุ โทรทัศน์ ที่แค่เปิดก็สามารถรับสารได้เลย แต่ “การอ่าน”เป็นการถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ ให้ผู้รับสารสามารถจินตนาการตามเองได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้ลูกของตนเอง หันมาสนใจเรื่องการอ่านตั้งแต่เด็กๆ หรือถ้าจะให้ดีก็คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ก็สามารถหาเรื่องราวดีๆ มาอ่านให้ลูกฟังได้ เพราะลูกจะสัมผัส รับรู้และซึมซับได้ อีกทั้งผู้อ่านที่เป็นแม่ก็จะมีจิตใจเบิกบานอีกด้วย
“จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกหนังสือที่ดีๆ สำหรับลูก เพราะหนังสือที่เลือกนั้น สารารถสร้างเสริมและกระตุ้นพัฒนาการ รวมถึงชี้นำคุณลักษณะให้กับลูกได้ด้วย ซึ่งหนังสือที่จะเป็นเล่มแรกของลูกนั้น ควรมีเนื้อหาที่ละเมียดละไม มีคุณภาพ สนุกสนาน ไม่เครียด แนววิถีชีวิตประจำวันของเราที่สามารถจับต้องได้ และตัวเด็กเองก็จะได้เรียนรู้ ได้เห็น เมื่อเด็กเริ่มโตขึ้นในช่วงประถมวัย ก็ควรเป็นนิทานดีๆ ที่มีข้อคิดที่เข้าใจง่ายๆ เพราะนั่นนอกจากจะทำให้เด็กสนุกสนานแล้ว ยังส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวอีกด้วย”ผู้จัดการแผนงานฯ กล่าว
นางสุดใจ บอกต่อว่า นอกจากนี้การอ่านยังเป็นประโยชน์ ได้ปลูกฝังเรื่องคุณธรรม จริยธรรมให้กับเด็กอีกด้วย เพราะในเนื้อหาหนังสือหรือนิทานเกือบทุกเล่ม จะแทรกเรื่องเหล่านี้เข้าไปไว้อยู่แล้ว หากแต่เราต้องทำให้เด็กและเยาวชนซึมซับเรื่องราวเหล่านี้ไปเองและเป็นประจำ แล้วเมตตาธรรมจะเกิดกับเด็กและเยาวชนตามมาจากการอ่านเอง
“พ่อแม่หลายคนอาจจะนึกไม่ออกว่า หนังสือเล่มแรกของลูก จะต้องเป็นหนังสืออะไร ไม่ต้องกังวลทางแผนงานฯ ได้คัดสรรหนังสือดี 108 เล่ม เพื่อสำหรับเด็กและเยาวชนทั่วไป และ 102 เล่มสำหรับเด็กมุสลิมไว้อีกด้วย ใครต้องการสามารถสอบถามได้ที่แผนงานฯ (http://www.happyreading.in.th/)และที่สำคัญไปกว่านั้นในปีนี้ทางแผนงานเราจะจัดทำโครงการนำร่องให้ในชั่วโมงเรียนของเด็ก แต่ละวัน มีชั่วโมงการอ่านสร้างสุขให้แก่เด็ก เพื่อปลูกฝังให้การอ่านกลายเป็นชีวิตประจำวันของเด็กไปเอง” นางสุดใจกล่าว
สุดท้ายนี้ ผู้จัดการแผนงานฯได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า จากการทำงานส่วนตัวมีความเชื่อว่า ถ้าหนังสือดีๆ ได้อยู่ในมือเด็กเมื่อไหร่แล้ว คงไม่มีเด็กคนไหนที่จะปฏิเสธการอ่าน เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ถ้าเราหนุนเสริมเด็กแรกเกิด จนถึง 3 ขวบ ให้สัมผัส เจอะเจอการอ่าน สร้างสัมพันธภาพระหว่างครอบครัวด้วยหนังสือ เด็กทุกคนก็จะรักการอ่านและไม่ห่างหนังสือไปตลอดชีวิตค่ะ
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการอ่านมีประโยชน์มหาศาล คงถึงเวลาแล้วที่คุณพ่อคุณแม่ต้องหันมาใส่ใจให้เจ้าตัวเล็กมีนิสัยที่รักการอ่าน ก่อนเด็กไทยจะไม่สามารถอ่านหนังสือได้อีก…
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่