‘อุดมศิลป์’ ตัดตอนนักดื่มวัยโจ๋

จี้รัฐคุมโฆษณาเหล้าถึงเฟซบุ๊ก

 

‘อุดมศิลป์’ ตัดตอนนักดื่มวัยโจ๋ 

 

          องค์กรต้านเหล้าจี้ภาครัฐเข้มบังคับใช้กฎหมายคุมเหล้า หลังพบผู้ค้าอาศัยช่องโหว่ทำการตลาดแนวราบไหลเข้าสู่อินเทอร์เน็ตเฟซบุ๊กโซเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มเยาวชนและผู้หญิงมากขึ้นทั้งดันห้ามนำเข้าสู่เวทีเจรจาเปิดเสรีทางการค้าด้าน “นายกฯ อภิสิทธิ์” ยอมรับการบังคับใช้หย่อนยาน ใจป้ำส่งซิกขึ้นภาษีเหล้า – บุหรี่เร่งหยุดการบริโภคใน “เด็ก – ผู้หญิง”

 

          ศ.น.พ. อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาคณะกรรมการ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงผลการรณรงค์ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักมากขึ้น จากการสำรวจ การงดเหล้าเข้าพรรษา3 เดือนมีประชาชนเข้าร่วมจำนวน 5 ล้านคน ลดค่าใช้จ่ายการดื่มโดยตรงได้ถึงปีละ 30,000 ล้านบาท แต่บริษัทเหล้ากลับมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แยบยล โน้มน้าวใจวัยรุ่นทุกวิธีเช่น การจัดคอนเสิร์ต การโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งกฎหมายควบคุมไม่ทั่วถึง

 

          ด้าน นพ.บัณฑิต ศรไพศาลผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ เปิดเผยว่า เยาวชนไทยมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นนักดื่มประจำมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ธุรกิจสุราพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจำหน่ายที่มุ่งเป้าหมายตรงที่กลุ่มเยาวชน ซึ่งพวกเขาเห็นโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละหลายๆ ครั้งภาครัฐต้องควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ยากขึ้น ซึ่งควรห้ามโฆษณาโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับที่ได้ผลดีแล้วกับบุหรี่ พร้อมกันนี้ ควรใช้มาตรการทางภาษีให้สูงพอและปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อทุกปี และประเด็นสำคัญ คือ ควรนำเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์ออกจากการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเสรี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลดภาษีศุลกากรซึ่งจะเป็นผลให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีราคาถูกเกินไป

 

          ส่วน ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เปิดเผยว่าจากการทำการวิจัยเรื่อง “กลยุทธ์การตลาดของบริษัทแอลกอฮอล์ในประเทศไทย:ศึกษาเฉพาะกรณีกลยุทธ์แนวราบ” พบว่ากลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของกลุ่มธุรกิจแอลกอฮอล์ทำการตลาดในแนวราบ 3 รูปแบบคือ การดึงลูกค้าเข้ามาสู่ผู้ค้าปลีกด้วยการโฆษณาผ่านสื่อมวลชน และสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะกิจกรรมประเภทกีฬาและบันเทิงไม่ว่าจะมาจากการจัดคอนเสิร์ต ปาร์ตี้ เพื่อให้มีการเข้าร้านค้า ผับ บาร์ ในรูปแบบการชักชวนทางเฟซบุ๊ก สื่อออนไลน์ต่างๆ ที่มีมากขึ้นเพราะไม่สามารถโฆษณาทางสื่อทีวีได้ และหน่วยงานภาครัฐก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปควบคุมได้  มีการจัดวางสินค้าโดดเด่นดึงดูดสายตาและใช้โคโยตี พริตตี้จูงใจรวมถึงการสร้างภาพลักษณ์องค์กรด้วยการทำซีเอสอาร์ผ่านด้านศิลปวัฒนธรรมทั้งพยายามที่จะสร้างรูปแบบการขายใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายและเพิ่มปริมาณการสื่อสาร แต่กลับไม่มีการให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เชิงสร้างสรรค์ต่อสังคม แม้ว่าจะมีกฎหมายควบคุมสื่อทางอากาศแต่การโฆษณาของบริษัทผู้ค้าหลบลงทางอื่นแทน ทำให้การเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ง่ายขึ้น

 

          ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ปฏิรูปนโยบายแอลกอฮอล์ปฏิรูปอนาคตประเทศไทย” ว่าหลักการแก้ปัญหาใหญ่ เช่น เอดส์ สุรา บุหรี่ หลักการสำคัญ คือ 1. ต้องกล้าเผชิญปัญหา 2. มีมาตรการหลากหลายรองรับ ทั้งจากมาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางสังคม อาทิ การสร้างค่านิยม การทำความเข้าใจกับประชาชน และ 3. ติดตามปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพราะปัญหาเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือมาตรการทางด้านภาษีเพื่อจูงใจให้ลดการบริโภคซึ่งรัฐบาลส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะต้องมีการขึ้นภาษีเหล้าบุหรี่ แม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและจะต้องปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องตามอัตราเงินเฟ้อ แต่ก็ต้องดูให้ไม่เกิดปัญหาสุราหนีภาษีมากขึ้น ซึ่งการจะปรับภาษีต้องดูจังหวะและโอกาส

 

          ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลกันว่า การเปิดการค้าเสรีแล้วจะทำให้ราคาเหล้า นำเข้าถูกลงสามารถแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มภาษีในประเทศให้สูงขึ้น ส่วนปัญหาเรื่องการกำหนดฉลากตราสินค้าบนผลิต ภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  หากพิจารณา แล้วจะพบว่าไม่ได้เป็นมาตรการกีดกันทางการค้า เพราะไทยไม่ได้ปฏิบัติกับสินค้าจากต่างประเทศต่างไปจากสินค้าในประเทศ

 

          ซึ่งจุดอ่อนสังคมไทยคือการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นมาตรการที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไป คือการเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยรอบช่วยกันสอดส่องดูแล นอกจากนั้นจะต้องมีมาตรการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น ในเด็กและผู้หญิง ที่กำลังเป็นเป้าหมายทางตลาดใหม่ และตนเองยังให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสังคมแม้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะบังคับใช้ 2 ปี แต่ก็ยังมีปัญหาทางด้านเทคนิคในเรื่องการตีความไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องการโฆษณา ก็จะต้องมีการหามาตรการที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมแต่จำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นลำดับต่อไป

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

 

 

update : 25-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :  ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code