อย.เตือนอันตรายจากการใช้ยา
ระวัง! กินยาแก้อักเสบมาก โรคหลอดเลือดหัวใจถามหา
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตามที่บริษัท เมอร์ค แอนด์ โก อิงค์ สหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตยาไวออกซ์ (vioxx®) หรือโรฟีค้อกสิบ ซึ่งเป็นยารักษาข้ออักเสบและอาการปวดเฉียบพลัน ได้ประกาศหยุดการจำหน่ายยาดังกล่าวทั่วโลกโดยสมัครใจ เนื่องจากมีรายงานวิจัยพบว่า เสี่ยงต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ได้แก่ ภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจและภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งในประเทศไทย บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้ายาไวออกซ์ได้ขอยกเลิกทะเบียนตำรับยาดังกล่าวทุกตำรับและทุกความแรงที่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย โดยได้เรียกคืนยาจากท้องตลาดทั่วประเทศไปแล้วนั้น
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับยาซีลีเบร็กซ์ (celebrex®) หรือซีลีค้อกสิบ ซึ่งเป็นยาในกลุ่มเดียวกับยาไวออกซ์ว่า อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้เช่นกัน อย.จึงได้เร่งดำเนินการทบทวนข้อมูลความปลอดภัยโดยด่วนที่สุด และได้นำเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาและเฝ้าระวังอันตรายจากการใช้ยาพิจารณา ซึ่งที่ประชุมเห็นว่ามีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่ายาโรฟีค้อกสิบ สัมพันธ์กับการเกิดอาการหลอดเลือดหัวใจ และที่สำคัญมีความเป็นไปได้สูงว่ายาทุกตัวในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ กลุ่มค้อกซ์-ทู อินฮิบิเตอร์ส (cox-2 inhibitors) อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าว โดยความเสี่ยงที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับขนาดและระยะเวลาการใช้ยา
ภญ.วีรวรรณกล่าวต่อไปว่า ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ กลุ่มค้อกซ์-ทู อินฮิบิเตอร์ส (cox-2 inhibitors) นี้ ในประเทศไทยพบว่ามีการขึ้นทะเบียนอยู่ 4 ตัวยา คือ ยาซีลีเบร็กซ์ (celebrex®) หรือซีลีค้อกสิบ ยาเบ็กซ์ตรา (bextra®) หรือวาลดิค้อกสิบ และยาอาร์โคเซีย (arcoxia®) หรืออิทอริค้อกสิบ และยาไดนาสแตท (dynastat®) หรือพารีค้อกสิบ ซึ่งยาดังกล่าวยังมีประโยชน์กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ ดังนั้น ในเบื้องต้น อย.จึงขอให้ผู้ใช้ยานี้ใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยมีข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า ห้ามใช้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร ผู้ที่กำลังมีแผลหรือเลือดออกจากแผลในกระเพาะ และผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ห้ามใช้ยาซีลีค้อกสิบและวาลดิค้อกสิบ ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยากลุ่มซัลโฟนาไมด์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางผิวหนังอย่างรุนแรง รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของหลอดเลือด
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยาควรใช้ในขนาดที่ไม่เกินกว่าที่ระบุไว้ในเอกสารกำกับยาและใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จำเป็น ที่สำคัญ ควรอ่านเอกสารกำกับยาในหัวข้อ “ข้อห้ามใช้” (contraindications) และ “ข้อควรระวัง” (precautions) ของแต่ละชนิดโดยละเอียด เนื่องจากยาแต่ละชนิดอาจมีคำเตือนและข้อห้ามใช้ที่แตกต่างกัน.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update : 10-07-51