“หัวฝักบัว” แหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย

ร่างกายอ่อนแอระวัง โรคปอด

 

 

“หัวฝักบัว” แหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย       นักวิจัยสหรัฐฯ สำรวจตัวอย่างหัวฝักบัว พบเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในปอด อันตรายต่อผู้มีพันธุกรรมและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่วนผู้มีร่างกายแข็งแรงไม่ต้องกังวล

      

       นักวิจัยมหาวิทยาลัยโคโลราโด (university of colorado) สหรัฐฯ ซึ่งนำโดย นอร์แมน อาร์ เพซ (norman r. pace) ได้ทดสอบฝักบัว 45 ตัวอย่าง จาก 5 มลรัฐในสหรัฐฯ แล้วพบว่าฟักบัวเหล่านั้นอาจเป็นแหล่งซุกซ่อนแบคทีเรีย ที่จะไหลตามสายน้ำลงมาสู่ใบหน้าและร่างกายเราได้

      

       สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลมากนัก ยกเว้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ เอดส์ และผู้บำบัดมะเร็ง หรือผู้ที่เพิ่งปลูกถ่ายอวัยวะ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ ตีพิมพ์ในวารสารโพรซีดิงส์ออฟเดอะเนชันนัลอคาเดมีออฟไซน์ (proceedings of the national academy of sciences)

      

       ทั้งนี้ แบคทีเรียเจ้าปัญหาดังกล่าวคือ มายโคแบคเทอเรียมเอเวียม (mycobacterium avium) หรือเอ็มเอวียม (m. avium) ซึ่งนำไปสู่โรคปอดในบางคน โดยเอพีระบุข้อมูลจากเพซว่า จากการศึกษาของเนชันนัลยิวอิชฮอสพิทัล (national jewish hospital) ในเดนเวอร์ ชี้ว่าจำนวนผู้ป่วยในสหรัฐฯ ซึ่งติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ที่ปอดช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมานั้น สัมพันธ์กับผู้คนที่ชอบอาบน้ำฝักบัวมากกว่าอาบน้ำในอ่าง โดยอาการติดเชื้อมีทั้งอาการเหนื่อย ไอแห้ง หายใจลำบากเรื้อรัง

      

       ทีมวิจัยแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงจากแบคทีเรียเหล่านี้ ด้วยการใช้ฝักบัวโลหะ เนื่องจากจุลินทรีย์เติบโตในวัสดุประเภทนี้ได้ยาก อีกทั้งฝักบัวเอง ยังเต็มไปซอกหลืบที่ยากต่อการทำความสะอาด และแบคทีเรียจะกลับมาใหม่ แม้จะใช้น้ำยาขัดล้างแล้วก็ตาม

       

       ด้าน ลอรา เค บวมการ์ทเนอร์ (laura k. baumgartner) ผู้ร่วมวิจัย กล่าวเสริมว่า การอาบน้ำในอ่างนั้น จะกระจายเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว สู่อากาศได้มากเท่ากับการอาบน้ำด้วยฝักบัว ซึ่งกระจายเชื้อจุลินทรีย์ให้อยู่ในรูปละอองฝอยที่ง่ายต่อการสูดหายใจเข้าปอด ร่างกายไม่แข็งแรงและรู้สึกแย่

      

       ตัวอย่างฝักบัวที่ทีมวิจัยสุ่มสำรวจนั้นมาจากอาคารบ้านพัก อพาร์ตเมนต์ และสถานที่สาธารณะในนิวยอร์ก อิลลินอยส์ โคโลราโด เทนเนสซี และนอร์ธดาโกตา โดยพวกเขาได้เก็บตัวอย่างน้ำที่ไหลออกจากฝักบัว จากนั้นแยกหัวฝักบัวออก แล้วทำความสะอาดอุปกรณ์ภายใน

       

       จากนั้นเก็บตัวอย่างน้ำที่ไหลผ่านท่อโดยไม่มีฝักบัว และจากการศึกษาดีเอ็นเอของตัวอย่าง ทีมวิจัยสามารถจำแนกได้ว่ามีแบคทีเรียชนิดใดอยู่ และยังพบว่าแบคทีเรียมีแนวโน้มที่จะสะสมอยู่ในหัวฝักบัวมากกว่าบริเวณอื่น

      

       อย่างไรก็ดีตัวอย่างน้ำส่วนใหญ่ที่สำรวจนั้น มาจากระบบน้ำในเขตปกครองของเมืองใหญ่ๆ อย่างนครนิวยอร์กและเดนเวอร์ แต่ทีมวิจัยก็ยังศึกษาตัวอย่างจากบ้านในชนบท ซึ่งได้รับจ่ายน้ำจากแหล่งน้ำส่วนตัว พบว่าไม่มีแบคทีเรียเอ็มเอเวียมอยู่ในหัวฝักบัว แต่พบแบคทีเรียชนิดอื่นอยู่แทน

      

       ในการศึกษาอื่นๆ ก่อนหน้านี้ทีมวิจัยของเพซยังพบแบคทีเรียเอ็มเอเวียมในผ้าม่านพลาสติกไวนีลในห้องน้ำ และบนผิวน้ำของสระบำบัดร้อน และยังมีการศึกษาอื่นๆ อาทิ การวิเคราะห์อากาศในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินของนิวยอร์ก ห้องโถงในโรงพยาบาล อาคารสำนักงานและสถานสงเคราะห์คนไร้บ้าน โดยรับทุนวิจัยจากมูลนิธิอัลเฟรด พี สโลน (alfred p. sloan foundation) และสถาบันเพื่อความปลอดภัยในการทำงานและสุขภาพของสหรัฐฯ (national institute of occupational safety and health)

      

       ด้าน โจเซฟ โอ ฟอลคินแฮม (joseph o. falkinham) นักจุลชีววิทยาจากเวอร์จิเนียเทค (virginia tech) ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยนี้ ยินดีกับการค้นพบนี้ และกล่าวว่าแบคทีเรียเอ็มเอเวียมก่อให้เกิดอันตรายได้เพราะการอาบน้ำฟักบัวนั้นแบคทีเรียจะถูกทำให้ฟุ้งกระจายในอากาศซึ่งเราสามารถสูดเข้าปอดได้

      

       ฟอลคินแฮมยังเพิ่มเติมว่า โดยตัวแบคทีเรียเอ็มเอเวียมนั้นไม่ก่อให้เกิดโรค แต่สำหรับผู้ที่มียีนก่อโรค “ซิสติกไฟโบรซิส” (cystic fibrosis) หรือ “ซีเอฟ” ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดโรคที่ปอดและทางเดินอาหารนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรคจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ไปตามอายุที่มากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา/ภาพประกอบ : หนังสือพิมพ์ astv ผู้จัดการ

 

 

update 18-09-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code