หยุด!ทำร้าย เด็กและสตรี

ร่วมกันยุติความรุนแรงในสังคมไทย

 หยุด!ทำร้าย เด็กและสตรี

              อย่าตีหนู…หนูเจ็บเป็นเสียงที่เด็กร้องขอความเมตตาจาเมื่อถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งความรุนแรงในสังคมไทยเป็นปัญหาที่มีต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวและยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเด็กและสตรี พบว่าจำนวนมากต้องทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายทารุณ ทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ว่ากับผู้หญิง เด็ก หรือแม้แต่กับผู้ชาย พบว่าผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายเหล่านั้นเป็นคนไม่ดี เพราะโดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครที่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ผู้ที่ใช้ความรุนแรงมักมาจากผู้มีประสบการณ์ไม่ดีในวัยเด็ก หรือวัฒนธรรมดั่งเดิมที่ปลูกฝังว่าการใช้ความรุนแรงเป็นอำนาจที่ใช้ควบคุมหรือบังคับผู้อื่นได้

 

             เนื่องในโอกาสเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง ร่วมกับ เครือข่ายชุมชน กทม. เลิกเหล้ายุติความรุนแรง ต่อผู้หญิงและเด็ก กว่า 50 คน เข้าพบ พล.ต.ท. พงศพัศ  พงษ์เจริญ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้มีการติดริบบิ้นขาวสัญลักษณ์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พร้อมกับได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีการเผยแพร่ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 กับทุกสถานีตำรวจในประเทศไทย และกำชับการบังคับกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว โดยพนักงานสอบสวนทุกสถานีต้องมีการรับแจ้งความในคดีความรุนแรงต่อครอบครัว พร้อมทั้งประสานงานความร่วมมือกับเครือข่ายชุมชนและองค์กรภาคประชาชนที่มีการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนในครอบครัวเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือเชิงบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ

 

             ภายในงาน นอกจากกลุ่มผู้เรียกร้องสิทธิเดินทางมาร่วมยื่นหนังสือแล้ว ยังมีการเล่นละครล้อเลียนจำลองสถานการณ์เพื่อตีแผ่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว  มีเยาวชนมาสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรง เช่น การที่ลูกถูกพ่อแม่ทุบตี  คนชราถูกทำร้ายร่างกายจากการมัดข้อเท้าด้วยโซ่ สตรีถูกข่มขืนร่างกาย เป็นต้น 

 

             เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง บอกว่า จากการที่ได้ลงไปเก็บข้อมูล พบว่าปัญหาความรุนแรงต่อครอบครัวมีมาก เช่น พ.ร.บ.ออกมาใช้ถึง 2 ปีแล้ว อย่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มีเนื้อหาว่า การทำร้ายกันในครอบครัวระหว่างสามี ภรรยา ห้ามทำร้ายซึ่งกันละกัน ห้ามทำร้ายลูก แม้กระทั้งคนในครอบครัวก็ห้ามทำร้ายกัน ตำรวจก็ต้องเข้ามารับผิดชอบ แต่ปัญหาหลักคือว่า ตำรวจยังมองในทัศนคติแบบเดิม ๆ คือ มองปัญหาความรุนแรงในครอบครัวนั้นเป็นปัญหาส่วนตัว  ถ้าตำรวจมองว่าเกิดปัญหาเรื่องนี้ขึ้นแล้วทำไมตำรวจไม่รับแจ้งความ 

 

            ที่น่าตกใจคือ! การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากค่านิยมสังคมแบบชายเป็นใหญ่ ที่มีความเชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว สามีเป็นเจ้าชีวิตภรรยา มีสิทธิดุด่า ทุบตีทำร้าย หรือบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ตามความต้องการของตน 

 

            ในขณะที่อีกด้าน พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เล่าว่า สำหรับความรุนแรงในครอบครัวก็เป็นประเด็นในปัญหาหนึ่งที่ยังเป็นปัญหาในสังคมไทยวันนี้ ขอขอบคุณทางมูลนิธิที่นำหนังสือส่งถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะขอให้เร่งรัดดำเนินการ ถือว่ามีความสำคัญก็คืออยากจะให้ตำรวจนั้นทุกพื้นที่ในประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าความรุนแรงในครอบครัวนั้นยังเป็นปัจจัยหลักเป็นเรื่องที่ตำรวจควรจะให้ความสนใจเข้าไปดูแล

 

             ลำพังพนักงานสอบสวนหญิงตามสถานีตำรวจต่าง ๆ อาจจะไม่เพียงพอเป็นการสร้างจิตสำนึกให้กับข้าราชการตำรวจด้วยว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเรามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปดูแลตั้งแต่ต้นเพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะรุกรามใหญ่โต เพราะผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่นั้นก็เป็นเด็ก สตรี คนชรา เป็นผู้ที่อ่อนแอในสังคม ตำรวจก็จะนำเรื่องนี้ไปสนทนาและตีแผ่เพื่อให้เรื่องนี้มีมาตรการและกำหนดแนวทางการปฏิบัติให้ตำรวจทั่วประเทศได้ถือปฏิบัติกันเพื่อเป็นการช่วยเหลือเหยื่อของผู้ถูกกระทำหรือผู้ถูกทำร้ายเพื่อที่เราจะได้ช่วยเหลือในกรณีพิเศษต่อไปพล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ กล่าวเสริม

 

            นอกจากนี้ยังมี นางสาวเกษร ศรีอุทิศ แกนนำเครือข่ายชุมชน กทม. ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ได้ออกมาบอกถึง ผลการสำรวจชุมชนในกทม. 22 ชุมชน  จำนวน 1,150  ตัวอย่างพบว่าผลกระทบจากแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้นในชุมชนยังคงเป็นความรุนแรงในครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง  24.66 % ตามด้วยปัญหาการทะเลาะวิวาท 20.90 % และการส่งเสียงดังรบกวน 15.64 % แสดงว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ในชุมชน กทม. มีเหล้าเป็นปัจจัยร่วมสำคัญ

 

            ทุกวันนี้หากเรายังคงนิ่งเฉยและมองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องภายในครอบครัว สังคมคงจะไม่มีวันน่าอยู่ขึ้นมาได้ ซึ่งคุณเองก็เป็นอีก 1 เสียงที่จะสามารถยุติความรุนแรงได้ อย่ามัวแต่จะตั้งคำถามให้กับตัวเองเพียงแค่ว่าจะนิ่งเฉย หรือ เข้าไปช่วยเหลือดีไหม เพราะวันที่คุณตัดสินใจได้มันอาจจะ สายไปแล้ว…. ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวตัวอีกต่อไปในสังคม หากคนไทยหันมาช่วยกันดูแลสอดส่องและเข้ามาใช้ข้อบังคับกฎหมายให้ถูกต้องก็จะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก

ประมวลภาพ

หยุด!ทำร้าย เด็กและสตรี

หยุด!ทำร้าย เด็กและสตรี

หยุด!ทำร้าย เด็กและสตรี

หยุด!ทำร้าย เด็กและสตรี

 

 

 

เรื่องโดย: ศุภร จรเทศ team content www.thaihealth.or.th

 

 

 

update: 18-11-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ศุภร จรเทศ

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code