สานพลังเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


สานพลังเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย thaihealth


จากโครงสร้างจำนวนประชากรที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดในปี 2574 ประเทศไทยเหลือเวลาเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าวเพียง 4 ปี ในขณะที่ต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นใช้เวลาเตรียมพร้อมถึง 26 ปี สหรัฐอเมริกา 69 ปี และฝรั่งเศสใช้เวลานานถึง 115 ปี


ในที่ประชุมผู้บริหารองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (ทอพ.) องค์กรที่รัฐจัดตั้งตาม พ.ร.บ.เฉพาะเป็นกลไกบริหารจัดการสาธารณะใหม่เพื่อส่งเสริมกลไกรัฐเดิม และเป็นกลไกตอบสนองช่องว่างในกิจการสาธารณะ จำนวน 16 องค์กร จัดการประชุมวิชาการครั้งที่ 4  หัวข้อ "ประชารัฐร่วมใจ สู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ" เพื่อเตรียมความพร้อมของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจำนวนประชากร ซึ่งจะมีผลต่อด้านเศรษฐกิจ สังคม แรงงาน และสุขภาพในอนาคต


ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในฐานะประธาน ทอพ. กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยมีอัตราการเกิดลดน้อยลง ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศสังคมสูงอายุติดอันดับ 2 ของอาเซียน และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ในอีก 4 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป 20% จากจำนวนประชากรทั้งหมด ส่งผลให้อัตราการพึ่งพิงผู้สูงอายุ 1 คนต่อวัยแรงงาน 3.2 คน


สานพลังเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย thaihealth


"ปัจจุบันยังพบช่องว่างในการเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยเฉพาะหลักประกันรายได้ยามเกษียณอายุ ที่พบว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน หรือรายได้ต่ำกว่า 2,647 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ โจทย์ใหญ่ที่จะตามมาคือ แรงงานไทย 63% ที่ไม่อยู่ในระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ยามเกษียณ และยังพบกับดักมนุษย์เงินเดือน โดยรายจ่ายของมนุษย์เงินเดือนสูงกว่าเงินสนับสนุนของรัฐขั้นพื้นฐานจากประกันสังคมและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเมื่อเกษียณ อยู่ที่ 8,100 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหากไม่มีการออมสมทบ จึงเกิดความร่วมมือในหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะทั้ง 16 หน่วยงานในการพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัย ทั้งการจัดระบบและบริการสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ การศึกษาวิจัยและการจัดการความรู้ การพัฒนานโยบายสาธารณะและสร้างเครือข่าย การพัฒนามาตรฐาน และการสื่อสารสังคม เพื่อรองรับสังคมสูงวัยให้เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ" ดร.สุปรีดากล่าว


สานพลังเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย thaihealth


ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ฯ ได้ให้ความเห็นในการที่จะเตรียมความพร้อมสู่การเป็นคนสูงอายุอย่างมีคุณภาพว่า ต้องมีการเตรียมตัวตั้งแต่ช่วงวัยแรงงาน หรือ อายุ 30 ปี ซึ่งนอกจากการเตรียมสุขภาพกาย-ใจแล้ว สิ่งสำคัญคือ การเตรียมเงินออมไว้ยามเกษียณ เนื่องจากข้อมูลพบว่า ในแต่ละปีจำนวนประชากร 6,700 คน จาก 4 แสนคน เสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น โรคมะเร็ง ความดันโลหิต เบาหวาน หัวใจ สะท้อนให้เห็นว่าแม้ปัจจุบันค่าเฉลี่ยช่วงอายุคนไทยจะเพิ่มขึ้น 20 ปี แต่สุขภาพร่างกายกลับไม่ได้แข็งแรงตาม ดังนั้นการเก็บออมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น หากต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 20,000 บาท ต้องมีเงินเก็บไม่ต่ำกว่า 8.4 ล้านบาท แต่หากอยากเป็นผู้สูงวัยที่ห่างไกลโรคก็ต้องเตรียมสุขภาพให้แข็งแรงตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เพราะการเป็นผู้สูงวัยมักมีการเจ็บป่วยตามมา ทั้งโรคทุพพลภาพและโรคพิการขั้นรุนแรง ที่อาจส่งผลให้เป็นผู้ป่วยติดเตียง จากข้อมูลพบว่า 6 เดือนก่อนเสียชีวิตจะเป็นช่วงที่ใช้เงินกับการรักษามากที่สุดและจะรุนแรงขึ้นในเดือนสุดท้าย แม้ว่าไทยจะไม่สามารถส่งเสริมเพิ่มอัตราเด็กเกิดอย่างมีคุณภาพได้ แต่ต้องสร้างสังคมที่พึ่งพากัน โดย 1) เน้นทุนมนุษย์ ส่งเสริมการอยู่อาศัยร่วมกันของคนทั้ง 3 ช่วงวัย 2) เน้นการป้องกันระบบสุขภาพมากกว่าการรักษา และ  3) ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ระบบการศึกษาทั้งสายสามัญและสายอาชีพเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ


สานพลังเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย thaihealth


สอดคล้องกับความคิดเห็นของ ดร.เจิมศักด์ ปิ่นทอง ประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับสังคมสูงวัย ที่ให้ความสำคัญกับเงินออมยามเกษียณว่า ไม่ควรหวังพึ่งรัฐหรือสวัสดิการเพียงอย่างเดียว เพราะระบบดังกล่าวอาจเกิดวิกฤติได้ในอนาคต เช่น ระบบเงินประกันสังคมที่เป็นสวัสดิการออมแบบลงขันที่ให้ทั้งประชาชน เอกชน และภาครัฐร่วมสมทบทุน และแนะนำให้คนวัยทำงานหันมาใส่ใจการออมด้วยตัวเอง และอย่ามีความเชื่อผิดๆ ที่กู้เงินไปซื้อสิ่งฟุ่มเฟือยและควรตั้งเป้าการเก็บออม เช่น เมื่อมีรายได้หรือรายรับก็ต้องแบ่งเพื่อการออมก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นควรวางแผนตัวเองตั้งแต่วันนี้ เมื่อเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้วจะขาดแคลนวัยแรงงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจในประเทศ อีกทั้งเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก หากภาคท้องถิ่นสามารถกระจายอำนาจดำเนินงานขับเคลื่อนได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้โรงเรียนยังเป็นส่วนสำคัญหากภาคท้องถิ่นสามารถสร้างการอยู่รวมกันครบ 3 เจเนอเรชั่น คือ วัยเด็ก วัยทำงาน และผู้สูงวัย จะเป็นหนึ่งกลไกที่สามารถช่วยลดผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากวัยเด็กจะเข้ามามีบทบาทช่วยดูแลผู้สูงวัยจากคนวัยทำงาน ขณะที่ผู้สูงวัยก็เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และภูมิปัญญาต่างๆ


สานพลังเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย thaihealth


ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาลตำบลเกาะคา จ.ลำปาง ก็เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ขับเคลื่อนงานสุขภาวะผู้สูงอายุในชุมชน น.ส.เพ็ญภัค รัตนคำฟู นายกเทศมนตรี เล่าว่า ระยะ 5 ปีที่ผ่านมา เทศบาลตำบลเกาะคาได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจาก สสส. ทำให้ชุมชนได้ถอดบทเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของชุมชน และขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ทุนทางสังคมที่ชุมชนมีในการทำกิจกรรมสานสัมพันธ์ จึงเกิดโรงเรียนผู้สูงอายุ โครงการขยะออมบุญ จิตอาสาปั่นจักรยานเก็บขยะ กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน เป็นการให้กำลังใจผู้สูงอายุ ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น ลดจำนวนผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สร้างความเข้าใจให้สังคมเห็นคุณค่าของผู้สูงวัย เกิดสังคมช่วยเหลือเกื้อกูลที่สร้างสังคมสุขภาวะ


การสร้างสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพ ไม่ได้เกิดจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่ายในสังคมที่ร่วมกันกลั่นกรองประเด็นปัญหา เพื่อปิดช่องโหว่ในด้านต่างๆ ก่อนที่ไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในอีก 4 ปีข้างหน้านี้

Shares:
QR Code :
QR Code