สัมผัสประสบการณ์โลกมืด ตระหนักภัย “เมาแล้วขับ ดับอนาคต”
ภายใน 1 ชั่วโมงของความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงใดๆ ลอดเข้ามา แต่ละห้องที่ก้าวย่างเข้าไป เต็มไปด้วยความรู้สึกที่กังวล หวาดกลัว ทรมาน มองไม่เห็นใครแม้แต่เพื่อนที่เดินอยู่ข้างหน้า ทุกครั้งที่เดินต้องมีสมาธิฟังเสียงรอบข้าง มือจะต้องใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด การสัมผัสจับต้องสิ่งของต่างๆ จะต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดที่เรามีอยู่ เพราะเราคือ คนตาบอด (ชั่วคราว)
กรมคุมประพฤติ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) เครือข่ายลดอุบัติเหตุ และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ได้จัดกิจกรรม “สัมผัสโลกมืด…หยุดพฤติกรรมเสี่ยงจากน้ำเมา ขณะขับขี่และบนรถโดยสาร” ที่ชั้น 4 อาคารจามจุรีสแควร์
“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” คำพูดของ นายอธิกุล ไลออน ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา อดีตวิศวกรอนาคตไกล และกำลังจะกลายเป็นเจ้าของกิจการ แต่ทุกอย่างมาจบสิ้น เพียงเพราะความประมาท ที่ให้ลูกน้องซึ่งดื่มแอลกอฮอล์มาขับรถให้ตนเอง ในอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้อธิกุลต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้าง ทุกอย่างในชีวิตดับมืดลงทันที ต้องเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้งกับโลกมืด
“ในปี 54 ที่ผ่านมา มีผู้ที่เข้าสู่กระบวนการควบคุมความประพฤติ จากเมาแล้วขับมากถึง 76,815 คดี ผู้กระทำความผิดจะมีอายุระหว่าง 20-30 ปี มากที่สุด และเป็นชายมากกกว่าหญิง” น.ส.รื่นฤดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าว
ทั้งนี้ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า มาตรการป้องปรามและขอความร่วมมือจากประชาชนจะมีส่วนช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้อีกทางหนึ่ง ขณะเดียวกันผู้ที่ถูกควบคุมความประพฤติจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้เรียนรู้ความสูญเสียและอันตรายจากการเมาแล้วขับ นอกจากนี้ วิธีป้องกันพฤติกรรมเมาแล้วขับของเยาวชนรุ่นใหม่ คือ ชุมชน สังคม จะต้องเข้ามามีบทบาทจัดกิจกรรมให้เยาวชนเหล่านี้ได้ตระหนักถึงอันตรายของแอลกอฮอล์ในรูปแบบต่างๆ
“อย่างเช่น ในการจัดกิจกรรมวันนี้ ที่ให้เยาวชนได้เข้าไปสัมผัสกับโลกมืดในนิทรรศการ dialoge in the dark เพื่อเตือนให้เยาวชนหยุดพฤติกรรมเสี่ยงเมาแล้วขับ รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถ ที่จะก่อให้เกิดความสูญเสียในด้านต่างๆ โดยที่เยาวชนเหล่านี้จะต้องอยู่ในโลกที่มืดสนิท เพื่อการเรียนรู้ว่า คนตาบอดเขามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เดินทางไปไหนต่อไหนได้อย่างไร การสัมผัส รับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง ทำได้อย่างไร และเพียงแค่ 1 ชั่วโมงที่เยาวชนต้องสัมผัสนั้น เทียบไม่ได้เลยกับคนที่ต้องตาบอดตลอดชีวิตจากอุบัติเหตุที่ถูกคนเมาแล้วขับ การนำประเด็นความสูญเสียการมองเห็นให้เยาวชนได้สัมผัสในวันนี้เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างเท่านั้น ในขณะที่ความสูญเสียจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ เป็นไปได้ทั้งที่พิการแขน ขา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และหนักถึงขั้นเสียชีวิต” อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าว
ขณะเดียวกัน นายชัยรณรงค์ คำแดง รองผู้จัดการ สคล. กล่าวว่า จากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน ปี 2555 พบว่า มีอุบัติเหตุสะสมรวมทั้งสิ้น 546,992 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 540,412 ราย เสียชีวิต 6,580 ราย ส่วนใหญ่เกิดจากรถจักรยานยนต์และรถกระบะ สอดคล้องกับข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพอ.) ที่ระบุว่า การบรรทุกคนจำนวนมากร่วมกับการดื่มจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตสูง และการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เราต้องการสร้างความตระหนักและความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ใช้รถใช้ถนน และพร้อมที่จะปฏิบัติการกฎหมาย ทั้งเมาไม่ขับรวมไปถึงกฎหมายใหม่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถขณะอยู่บนทาง ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
“การที่ให้น้องๆ เยาวชนได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อสะท้อนให้เยาวชนได้ฉุกคิดและหยุดพฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆ เพราะลองจินตนาการดูว่า หากเราต้องอยูในโลกมืดเพียง 1 ชั่วโมง เรารู้สึกลำบากและแย่แค่ไหน แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับคนที่ต้องสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิต เพราะคนเมาแล้วขับ” รองผู้จัดการ สคล. กล่าว
นายอธิกุล ฝากไปยังผู้ที่เมาแล้วขับอยู่ว่า ตราบใดที่ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นกับตัวเองจะไม่รู้เลยว่ารุนแรงแค่ไหน รถเสีย เรายังมีอะไหล่ซ่อม แต่ถ้าร่างกายคนเราสูญเสียไปอย่างใดอย่างหนึ่งไม่มีอะไหล่มาทดแทนกันได้ ดังนั้นการเคารพกฎจราจร เคารพกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะกฎหมายจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสกัดการเกิดอุบัติเหตุและรักษาชีวิตเราได้ทางหนึ่ง
ณ วันนี้เราไม่สามารถที่จะหยุดการเกิดอุบัติและความสูญเสียอันเกิดจากแอลกอฮอล์ได้ 100% แต่เราสามารถปลูกจิตสำนึกที่ดีให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้ตระหนักถึงภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ด้วยประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความจากประสบการณ์จริง “รถเสีย เรายังมีอะไหล่ซ่อมได้ แต่ถ้าเป็นคนไม่มีอะไหล่มาทดแทนกันได้”
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง