สสส. เผยรณรงค์บุหรี่สำเร็จ ลดสิงห์นักสูบได้ผลเกือบ 90%
พบปัญหายาเส้น คนสูบพุ่งเฉียด 50 %
สสส.วิจัยพบรณรงค์ลดสิงห์นักสูบได้ผลเกือบ 90% ต่างยอมรับและเห็นด้วยไม่ควรพ่นควันในที่สาธารณะ และควรมีเขตปลอดบุหรี่ ห่วงปัญหามวนบุหรี่สูบเองพุ่งเฉียด 50% เหตุไทยไม่มีกฎหมายป้องกัน แถมบริษัทบุหรี่ข้ามชาติยังเล่ห์ร้าย เป็นสปอนเซอร์หนุนกิจกรรมเยาวชน หวังเพิ่มนักสูบหน้าใหม่
รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผอ.สำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในการประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 7 เมื่อเร็วๆ นี้ เรื่อง “เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจต้านภัยบุหรี่” โดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) และ สสส. ว่า การรณรงค์เรื่องภัยจากการสูบบุหรี่เพื่อลดอิทธิพลของการโฆษณาจูงใจให้สูบบุหรี่ และเพิ่มโฆษณารณรงค์เพื่อสุขภาพ มาต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปีนั้น สสส.ได้ประเมินผล พบว่าประชาชนยอมรับและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพ
ทั้งนี้ ข้อมูลผ่านการรณรงค์ กลุ่มตัวอย่าง 88.9% เห็นว่า การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะและควรมีเขตปลอดบุหรี่ ขณะที่ 86.9% เห็นว่า บ้านควรเป็นเขตปลอดบุหรี่เพื่อไม่ให้ลูกเลียนแบบพฤติกรรม จึงเห็นได้ว่าการใช้สื่อรณรงค์ได้ช่วยทำให้กฎหมายต่างๆ มีความเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับจากประชาชนมากขึ้น
รศ.ดร.วิลาสินีกล่าวว่า ประชาชนทั่วไปเกือบ 70% รับรู้การสื่อสารรณรงค์ได้จากทางโทรทัศน์มากที่สุด รองลงมาคือ การประชาสัมพันธ์แทรกในรายการโทรทัศน์ อีก 40% การรณรงค์โดยใช้พรีเซนเตอร์ ดารานักแสดง และ 25% จากข่าว คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ สำหรับแคมเปญประชาสัมพันธ์ที่ประชาชนจดจำมากที่สุด คือ ควันบุหรี่ทำร้ายคนใกล้ชิด 75% ตามด้วยสุขภาพดีต้องปลอดบุหรี่และสุรา และเลิกบุหรี่เพื่อลูก 60%
“แม้การรณรงค์แบบพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงคือเยาวชน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของบริษัทบุหรี่จะได้รับผลตอบรับที่ดี แต่กลุ่มเป้าหมายอีกกลุ่มคือ กลุ่มผู้หญิงที่มีเศรษฐสถานะต่ำ หรือรากหญ้า ยังมีการสูบบุหรี่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก มีข้อมูลการสำรวจรูปแบบการสื่อสารของกลุ่มผู้หญิงรากหญ้า 5 ประเทศ พบสื่อรณรงค์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ รณรงค์ผ่านภาพยนตร์ เวทีละคร ป้ายโฆษณา โปสเตอร์ รายการวิทยุ และในโรงหนัง รองลงมาคือ ผ่านโทรศัพท์ เนื้อเพลง และโทรทัศน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ สสส.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหาช่องทางในการรณรงค์ที่เหมาะสมต่อไป แต่อีกปัญหาคือ บริษัทบุหรี่ข้ามชาติใช้กลยุทธ์โฆษณาแฝงเข้าไปเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนกิจกรรมของเยาวชน ทำเสื้อยืด หมวก เป็นของแจก ซึ่งต้องรณรงค์ให้ผู้รับการสนับสนุนรู้เท่าทันเล่ห์กลเหล่านี้”
รศ.ดร.วิลาสินีกล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือ การสูบบุหรี่แบบมวนเอง หรือยาเส้น มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เมื่อ 12 ปีที่แล้วพบว่า คนไทยสูบบุหรี่ม้วนเอง 41.2% แต่เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา มีคนสูบบุหรี่ม้วนเองเพิ่มขึ้นเป็น 49.6% สอดคล้องกับจำนวนผู้สูบบุหรี่แบบซองที่ลดลง เมื่อปี 2539 มีคนสูบบุหรี่แบบซอง 58.25% แต่ในปี 2547 ลดลงเหลือเพียง 47.3% และมีการสูบบุหรี่ประเภทอื่นๆ อีก 3.13% สาเหตุที่คนหันมาสูบบุหรี่แบบม้วนเองเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากไทยยังไม่มีมาตรการควบคุมบุหรี่แบบม้วนเอง โดยเฉพาะมาตรการทางภาษี
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update 15-09-51