สสส. เปิดตัว “ตลาดเขียวบนตึกสูง”
เอ็นจีโอชี้เป็นสัญลักษณ์กระตุ้นคนเมือง
สสส. ปิ๊งไอเดียสุดกรีน ดึงตลาดสีเขียวขึ้นชั้นบนสุดตึก sm tower ย่านสนามเป้า จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นมนุษย์เงินเดือนให้ใส่ใจสุขภาพแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เปิดตัวสัปดาห์แรกแม้พื้นที่ไม่มาก แต่สินค้าก็น่าสนใจหลายรายการ ซึ่งกิจกรรมดีๆ นี้จะจัดทุกๆ วันจันทร์ของสัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน ด้านรอง ปธ.กก. สายใยแผ่นดินระบุ ถือเป็นสัญลักษณ์ที่กระตุ้นคนเมือง แต่อาจจะไม่คุ้มในเชิงธุรกิจ ในขณะที่นักวิชาการระบุ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุน
วันที่ 2 มี.ค. 52 ที่บริเวณลานกิจกรรมชั้น 35 อาคารเอ็ส เอ็ม ทาวเวอร์ สนามเป้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายตลาดสีเขียว ได้ร่วมกันจัดงาน “ตลาดเขียวบนตึกสูง” ขึ้น โดยการนำผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรอินทรีย์มาวางขาย อาทิ นมวัวจากฟาร์มนมอินทรีย์ น้ำมังคุดอินทรีย์ ข้าวกล้องอินทรีย์ ไข่ไก่จากฟาร์มไก่อินทรีย์ ผักและน้ำสลัดเกษตรอินทรีย์ รวมถึงอาหารสีสันสดใสน่ารับประทานอย่าง “เมี่ยงดอกไม้อินทรีย์” เป็นต้น
เพื่อหวังกระตุ้นและส่งเสริมให้คนเมือง โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ นายจ้าง รวมไปถึงมนุษย์เงินเดือนที่อาศัยและทำงานอยู่ในอาคารสูง ได้มีโอกาสใส่ใจต่อการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของตนเอง โดยกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากวันนี้จะเป็นวันเปิดตัวตลาดเขียวบนตึกสูงเป็นวันแรก ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไป เจ้าหน้าที่และพนักงานที่ทำงานในอาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ รวมไปถึงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ แล้ว ในการณ์นี้ ทาง สสส. ยังได้จัดเสวนาเรื่อง “ตลาดเขียว เกษตรอินทรีย์ และวิถีผู้บริโภคคนเมือง” อีกด้วย
โดยนายธวัชชัย โตสิตระกูล รองประธานกรรมการมูลนิธิสายใยแผ่นดิน กล่าวตอนหนึ่งถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า โดยส่วนตัวแล้วทำงานด้านเกษตรอินทรีย์มานับสิบปี ก็มีประสบการณ์การขายผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ในระดับหนึ่ง ซึ่งหากเท้าความไปในช่วง พ.ศ.2536 พบว่าในยุคนั้นร้านค้าประเภท green shop ที่ขายสินค้าประเภทดังกล่าว มีมากกว่าในยุคสมัยนี้
“ผมเคยส่งของให้ร้านเฉพาะในกรุงเทพฯ ราวๆ 60 ร้าน แต่ก็ปิดตัวไปเกือบหมดตอนปี 40 ต้องยอมรับว่ารูปแบบการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนไปกินข้าวนอกบ้านมากขึ้น การขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ก็ขายได้น้อยลง เพราะคนไม่ทำกับข้าว ผมเคยแบกข้าวสารขึ้นลิฟต์เพื่อมาออกงานแบบนี้ เคยไปขายของในงานโอท็อป แรกๆ ก็สนุกดีได้ประสบการณ์ แต่เพราะรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป ประกอบกับความไม่เข้าใจและความสับสนของผู้บริโภคทำให้เราขายสินค้าได้ยาก การมาออกร้านอย่างที่ร้านค้าต่างๆ ที่มาวันนี้ ถ้าพูดในเชิงธุรกิจนั้นค่อนข้างที่จะไม่คุ้ม แต่ถ้าในเชิงสัญลักษณ์หรือกระแสผมว่าการจัดงานเช่นนี้ก็น่าจะได้พอสมควร”
ด้านผศ.ดร.โอปอลล์ สุวรรณเมมฆ อาจารย์จากภาควิชาบริหารธุรกิจเกษตร คณะเทคโนโลยีทางการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่าที่ผู้บริโภคไม่เข้าใจและสับสนในตัวผลิตภัณฑ์ ก็เพราะมีคำหลายคำที่ใช้เรียกผลิตภัณฑ์ในวิถีเกษตรอินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นผักปลอดสาร ผักไร้สาร ผักปลอดภัยจากสาร หรือผักอินทรีย์
“ทุกวันนี้ลองไปถามผู้บริโภคดูว่า 4 อย่างนี้คิดว่าอะไรปลอดภัยที่สุด ส่วนใหญ่ยังตอบว่า “ผักไร้สาร” อยู่เลย ทั้งที่ความเป็นจริงผักไร้สาร คือ ผักที่ไร้สารพิษจำพวกยาฆ่าแมลง แต่ในกรรมวิธีการปลูกยังคงให้สารเคมีอยู่ ยังมีคนเข้าใจผิดเช่นนี้อยู่มาก และเห็นด้วยกับคุณธวัชชัยที่เห็นว่าการจัดกิจกรรมเช่นนี้ พ่อค้าแม่ค้าที่นำสินค้ามาอาจจะไม่คุ้มในเชิงธุรกิจ เพราะไหนจะต้องขนสินค้าเข้ามาในกรุงเทพฯ และยอดจำหน่ายก็ยังไม่แน่ว่าจะได้มากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งน่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนหรือดูแลในส่วนนี้ด้วย”
ผศ.ดร.โอปอลล์กล่าวต่อไปว่า วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป อาศัยอยู่ในตึกสูงแบบคอนโดมิเนียมมากขึ้น การจัดกิจกรรมเช่นนี้จะมีส่วนช่วยให้คนในตึกสูงในเมืองใหญ่ ได้กลับไปมองคุณค่าจากอาหารที่ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าพืชผักอินทรีย์เหล่านี้จะมีราคาค่อนข้างสูง แต่อยากให้มองในเชิงของ fair trade คือเกษตรกรต้องใส่ใจกับทุกๆ ผลิตภัณฑ์ที่เพาะขึ้น ต้องให้เวลากับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งขอให้ผู้บริโภคคิดว่าในราคาที่อาจแพงกว่าพืชผักธรรมดานั้น คือ การจ่ายเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้และมีชีวิตที่ดีขึ้น
ในขณะที่นายพฤติ เกิดชูชื่น เจ้าของฟาร์มนมวัวอินทรีย์ “แดรี่โฮม” กล่าวว่า อยากให้มองว่าการจัดกิจกรรมอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์มากหรือน้อย แต่ก็ยังถือว่าสำเร็จ
“ผมอยากให้มองว่าจะได้มากหรือได้น้อย อย่างไรก็ยังได้ เราต้องเริ่มที่เล็กๆ ก่อน ผมทำนมวัว ขายในพื้นที่ของผม คุณทำผักออร์แกนนิคขายที่นั่นที่นี่ เล็กๆ รวมกันมันก็ใหญ่ได้ นอกจากนี้ผมยังอยากเน้นว่า eat green eat local คือ กินผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์แล้วยังควรกินแบบที่ปลูกในพื้นที่ท้องถิ่นของตนเองด้วย”
ที่มา: หนังสือพิมพ์astv ผู้จัดการ
update 03-03-52