สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย จัดเวทีถกแนวทางส่งเสริมกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา แนะเลิกยาชุด ระวังก่อนใช้ยากลุ่มเสี่ยง ยาเอ็นเสด ยาสเตียรอยด์
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.
ผู้ป่วยโรคไตพุ่งต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากใช้ยาไม่ถูกต้อง กพย. – สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย จัดเวทีถกแนวทางส่งเสริมกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา แนะเลิกยาชุด ระวังก่อนใช้ยากลุ่มเสี่ยง ยาเอ็นเสด ยาสเตียรอยด์
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2566 ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สานพลังภาคีเครือข่ายรวม 6 องค์กร ได้แก่ ชมรมเภสัชชนบท คณะทำงานสร้างเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลภาคประชาชน (สยส.) มูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา และสถาบันวิจัยสังคม จัดเสวนาวิชาการสานต่อ “วันไตโลก” เน้นการใช้ยาสมเหตุผลของยากลุ่มเสี่ยง ยาเอ็นเสด ยาสเตียรอยด์ งดใช้ยาชุด เพื่อลดปัญหาความเสี่ยงต่อไต
นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้วันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่ 2 ในเดือนมีนาคมของทุกปีเป็น “วันไตโลก” ปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. 2566 มีคำขวัญว่า “ตระหนักภัย ใส่ใจไต ป้องกันไว้ เน้นกลุ่มเสี่ยง” ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค เมื่อ มิ.ย.2565 พบว่า ทั่วโลกมีการเสียชีวิตจากโรคไตมากถึง 1.4 ล้านคน ในปี 2562 เพิ่มสูงขึ้น 20% จากปี 2553 เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญ 1 ใน 10 ของโลก ในไทยสถานการณ์โรคไตเรื้อรังในประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในปี 2565 พบว่า 1 ใน 25 ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง กลายเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังรายใหม่ มีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 3 จำนวน 420,212 ราย ระยะ 4 จำนวน 420,212 ราย และระยะที่ 5 ที่ต้องล้างไตมากถึง 62,386 ราย มีผลต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีรายงานปี 2565 ชี้ว่างบประมาณที่ต้องใช้ในการล้างและเปลี่ยนถ่ายไต สำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย สูงถึง 9,731 ล้านบาท
“โรคไตมีหลายสาเหตุแตกต่างกันในประเทศต่างๆ ประเทศพัฒนาพบอายุการทำงานของไตลดลงเมื่ออายุเพิ่มสูงขึ้น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และการสูบบุหรี่ มีความสัมพันธ์กับโรคไตเรื้อรัง สำหรับประเทศกำลังพัฒนาพบการป่วยด้วยโรคติดเชื้อนำไปสู่โรคไตเรื้อรัง นอกจากนี้ การใช้ยาไม่ถูกต้อง การรับประทานยาชุด ยาแก้ปวด ยาสมุนไพรบางชนิด ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้สูญเสียการทำงานของไต การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล หรือ RDU (Rational Drug Use) จึงสำคัญต่อทั้งการรักษาโรค และการป้องกันการเกิดโรคไตจากการใช้ยา สสส. จึงสานพลัง กพย. ดำเนินการเรื่องกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา จัดการความรู้ ศึกษาวิจัย ขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับระบบยา ทั้งยาชายแดน เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล และการเข้าถึงยา การเสวนาวันนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนทั่วไป หรือสื่อมวลชน จะได้ร่วมเรียนรู้ สร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับสถานการณ์โรคไตที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล เพื่อเป็นแนวทางดูแลตนเองและคนในครอบครัวต่อไป” นายชาติวุฒิ กล่าว
ภก.ไตรเทพ ฟองทอง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของงบประมาณรายจ่ายกองทุนไตวายเรื้อรังในการชดเชยค่าบริการ สำหรับการจัดบริการบำบัดทดแทนไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระหว่างปีงบประมาณ 2553-2565 พบว่ามีแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกปีตามจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2565 พบว่ามีค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดบริการบำบัดทดแทนไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย 11,808 ล้านบาท สำหรับการจัดบริการผู้ป่วยประมาณ 7 หมื่นคน
ในปีงบประมาณ 2565 จากการสำรวจฐานข้อมูลบริการผู้ป่วยใน สปสช.พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง Stage 1-5 (ทุกประเภทสิทธิตามระบบหลักประกันฯ) ที่มาใช้บริการประเภทผู้ป่วยใน จำนวน 304,369 คน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่มีความจำเป็นต้องเข้าสู่การดูแลโดยกระบวนการบำบัดทดแทนไตอีกเป็นจำนวนมากในประเทศไทย หากขาดการจัดระบบบริการสำหรับการดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ในเชิงการป้องกันที่ดีพอ โดยเฉพาะการจัดระบบบริการในระดับชุมชน ที่ต้องการการบูรณาการทรัพยากรจากหลายภาคส่วน และกำหนดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางในการออกแบบระบบบริการ
นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เล่าประสบการณ์ว่า ตนรู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคไตเสื่อมและเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดไตวายนั้นมาจากการที่ตนใช้ยา NSAIDs (ยาชุดแก้ปวดแก้เคล็ดขัดยอกต่างๆ เรียกย่อว่า เอ็นเสด) และกลุ่มยาสมุนไพร เช่น ยาหม้อ ยาต้ม ยาลูกกลอน ยาจีน มาหลายปีเท่าที่ตนจำได้คิดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 3 ปี จนต้องฟอกไต จึงอยากให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กำกับการดูแลร้านยาอย่างจริงจัง เนื่องจากปัจจุบันร้านยายังมีการขายยาชุดอยู่ และอยากให้ภาครัฐจัดการเรื่องการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพเกินจริงอย่างเคร่งครัดเนื่องจากเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและซื้อมาบริโภคทำให้ส่งผลกระทบต่อการเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น
อ.ภก.วีรชัย ไชยจามร คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า สำหรับบริบทในประเทศไทยยังมีสิ่งที่ท้าทายอีกประการหนึ่งคือ การใช้ยาชุดที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้จากแหล่งที่มาต่างๆ โดยยาชุดส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยยาแก้ปวดโดยเฉพาะกลุ่ม NSAIDs มากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป ร่วมกับอาจมียา steroid ในยาชุดนั้นๆ ด้วย และการใช้ยาสมุนไพรในรูปแบบต่างๆ เช่น ยาลูกกลอน ยาต้ม ยาหม้อ ที่มีการใส่ steroid ซึ่งการใช้ steroid เป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้เกิดการคั่งของน้ำและเกลือ โรคความดันเลือดสูง เบาหวาน และอาจส่งเสริมให้การทำงานของไตลดลงได้ ดังนั้นการใช้ยาชุดหรือสมุนไพรเหล่านี้เป็นระยะเวลานานจึงส่งผลให้เกิดทั้งโรคไตวายเฉียบพลันและโรคไตเรื้อรัง และนำไปสู่การเกิดไตวายระยะสุดท้ายที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต ดังนั้นการซักประวัติการใช้ยา อาหารเสริม สมุนไพรอย่างละเอียดและจัดทำรายการยาที่เป็นปัจจุบันโดยเภสัชกร มีส่วนช่วยให้ได้ข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผู้ป่วยใช้ และสามารถช่วยป้องกันการใช้ยาที่มีผลลดการทำงานของไตลงได้
ภก.สุภนัย ประเสริฐสุข ประธานชมรมเภสัชชนบท ให้ข้อมูลว่ายาชุด ยาแก้ปวดชนิด NSAIDs (เอ็นเสด) ยาปฏิชีวนะ ยาลูกกลอน ในอีกมุมพบว่ายังคงสร้างความเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัวให้คนไทยอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิดโรคที่เกิดจากยาเช่นไตวาย โดยร้อยละ 89.72 ของร้านชำในจังหวัดที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอย่างจริงจังต่อเนื่องจะพบยาเหล่านี้เสมอ แหล่งกระจายยาสำคัญพบทั้งรถเร่ ร้านขายของชำโดยเฉพาะร้านขายปลีกที่พบทั้งในตัวเมืองและชนบท การมีโครงการกิจกรรมที่ทำในร้านชำร่วมกับชุมชนรูปแบบต่างๆ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ผ่านกิจกรรม บ้าน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล (บ.ว.ร.ร.) การตรวจจับบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การจัดการปัญหาที่ต้นทางแหล่งผลิตจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยป้องกันอีกทางไม่ให้คนไทยต้องเจ็บป่วยจากการบริโภคยาอันตราย ที่ไม่ปลอดภัย
ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล กรรมการแพทยสภา และประธานคณะทำงานสร้างเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลภาคประชาชน (สยส.) กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนมักไม่รู้จัก “ค่าการทำงานของไต” ซึ่งดูได้จากค่าอีจีเอฟอาร์ (eGFR) ที่แสดงไว้ในใบรายงานผลการตรวจเลือด ถ้าพบว่ามีค่ามากกว่า 90 แสดงว่าไตทำงานปกติ ถ้าอยู่ระหว่าง 30-59 หมายถึงการเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และหากมีค่าต่ำกว่า 15 หมายถึงการเป็นโรคไตระยะสุดท้าย ซึ่งในที่สุดต้องทำการฟอกไต ผู้เป็นโรคไตเรื้อรังตั้งแต่ระยะที่ 3 ขึ้นไปหากได้รับเอ็นเสด อาจทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว การมี “พฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล” หรือ “พฤติกรรมอาร์ดียู” จะช่วยป้องกันปัญหาโรคไตจากยากลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี โดยแจ้งผู้สั่งยา (แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล) เสมอว่าเราเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่เท่าใด ถามว่ายาที่ได้รับเป็นเอ็นเสดหรือไม่ มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยต่อไตหรือไม่ และเมื่อจำเป็นต้องใช้เอ็นเสดตามคำแนะนำของแพทย์ เมื่อได้รับยามาแล้วให้ใช้ด้วยขนาดยาที่ต่ำที่สุด ด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุด และไม่แสวงหาเอ็นเสดมาใช้ด้วยตนเอง ประชาชนควรมีความรู้ว่ายาชุดเป็นยาซึ่งประกอบด้วยเอ็นเสดหลายชนิดในซองเดียวกัน แม้จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดให้กับเราได้จริงแต่เป็นยาพิษที่มีผลเสียต่อไตอย่างร้ายแรง จึงห้ามใช้ยาชุดโดยเด็ดขาด การขายยาชุดเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายมีโทษทั้งจำและปรับ แต่ยาชุดยังคงมีจำหน่ายอยู่ทั่วไปแม้ในกรุงเทพมหานคร ทุกภาคส่วนจึงควรตระหนักถึงอันตรายของยาชุดและช่วยกันขจัดยาชุดให้หมดไปจากประเทศไทย
ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา กล่าวสรุปว่า กพย.และภาคี สนับสนุนการยกระดับการจัดการปัญหาไตวายจากการใช้ยาให้ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ต้นนํ้าไปจนถึงกลางนํ้าและปลายน้ำ ด้วยการร่วมมือกับภาคีที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน (เครือข่ายผู้ป่วย ภาคประชาสังคม เครือข่าย นพย. ชมรมเภสัชชนบท ภาคีวิชาการระดับภาค ภาคีวิชาชีพ และอื่นๆ ) มาร่วมเฝ้าระวัง และ ติดตาม วิเคราะห์เชิงระบบของการขึ้นทะเบียนตำรับยา การกระจายและการใช้ยา กลุ่มที่เป็นสาเหตุหลักต่อโรคไต พร้อมกับการจัดการระบบติดตามโรคไตที่มีสาเหตุจากการใช้ยาร่วมด้วย และเสนอแนะทางนโยบายเพื่อการจัดการที่เข้มงวดต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุขในการจัดการ RDU Community ที่ช่วงปีงบประมาณ 2566-2567 มุ่งเป้าจัดการยากลุ่มเสี่ยง 3 รายการคือสเตียรอยด์ ยาเอ็นเสด และยาปฏิชีวนะ อยากให้พรรคการเมืองเสนอแนะนโยบายที่ชัดเจนจัดการปัญหาเรื่องยาที่กระทบโรคไต ที่รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมากมายในการรักษาปลายเหตุ ให้ทำอย่างไรจะเป็นการป้องกันการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม จะป้องกันโรคไตที่ต้นเหตุและลดภาระงบประมาณไปได้มาก