สสส.จับมือภูธรภาค 5 นำร่อง `โรงพักสร้างสุข`
สสส.จับมือตำรวจภูธรภาค 5 ลงนาม MOU เดินหน้า ‘โรงพักสร้างสุข’ นำร่อง 24 สน. สร้างสุขภาวะ ตร.ไทย เล็งขยายผลทั่วประเทศ หลังแพทย์ รพ.ตร.เผย ตร.มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด เหตุเพราะเครียดและทำงานหนัก
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2557 ณ ห้องประชุมพระพุทธประธานยศบารมี สถานีตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือ (MOU) “โครงการโรงพักสร้างสุข” ระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถานีตำรวจภูธรภาค 5 โดยมีตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ โรงพยาบาลตำรวจ, โรงพยาบาลดารารัศมี, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยพายัพ, คณะผู้บังคับบัญชา ภูธรภาค 5, ผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดทุกแห่งในสังกัด, ผู้บัญชาการอำนวยการ ภูธรภาค 5, ผู้บัญชาการประจำ ภูธรภาค 5 และหัวหน้าสถานีตำรวจที่เข้าร่วมโครงการ
พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงศ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า จากผลสำรวจเมื่อหลายปีที่ผ่านมาพบว่าข้าราชการตำรวจมีพฤติกรรมดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด และมีความเครียดสูง เพราะต้องรับผิดชอบในภาระหน้าที่และทำงานหนัก จนทำให้เกิดความเคยชินในพฤติกรรมดังกล่าว และก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมา
“ทางโรงพยาบาลตำรวจมีแผนการดูแลสุขภาพ โดยที่ผ่านมามีการตรวจร่างกายและสอดแทรกความรู้ แต่พบว่าโรคภัยที่เกิดขึ้นกับตำรวจนั้น ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรม ซึ่งหากปรับเปลี่ยนได้ บวกกับการออกกำลังกาย และการสร้างสุขภาพจิตที่ดี ร่างกายก็จะแข็งแรง 100% ได้”
นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตร. กล่าวต่อไปว่า สถานีตำรวจภูธรภาค 5 มีความพยายามในการนำร่องโครงการโรงพักสร้างสุขและตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้สถานีตำรวจทั้ง 24 สถานีเป็นองค์กรแห่งสุขภาวะอย่างแท้จริง เพื่อขยายผลออกไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป เพราะเชื่อว่าการมีสุขภาพใจ – สุขภาพกายที่ดีนั้น จะทำให้บุคลากรสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข ผลงานก็จะออกมาดี ทั้งยังสามารถดูแลประชาชนได้ดีขึ้น เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่างๆ ตามมา
“ในระยะไกลมองว่านอกจากตำรวจแล้ว การสร้างสุขภาวะที่ดีนั้นยังจะสามารถขยายไปสู่คนในครอบครัวของตำรวจด้วย ซึ่งความสำเร็จเหล่านั้นจะค่อยๆ เผยแผ่ออกไปสู่ชุมชน จนสามารถพัฒนาประเทศชาติต่อไป โดยผมในฐานะนายแพทย์ใหญ่ยินดีสนับสนุนเต็มที่ สิ่งสำคัญคือการร่วมมือกันอย่างจริงจัง จากทั้งภาคนโยบายและฝ่ายปฏิบัติการทุกคน” นายแพทย์ใหญ่ย้ำ
ด้าน นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส.กล่าวว่า โรงพักเป็นองค์กรที่มีบุคลากรเยอะมาก และภาระงานของโรงพักคือการดูแลสารทุกข์ของประชาชน ดังนั้นถ้าตำรวจมีความพร้อมเรื่องสุขภาพกายและใจ มีสิ่งแวดล้อมมีสังที่ดี เชื่อว่าการดูแลประชาชนก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน
“การตรวจสุขภาพเป็นประจำนั้นจะให้เกิดผลดีต้องกลับมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเมื่อทราบสาเหตุก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ เช่นเดียวกับการสร้างสุขภาวะในองค์กร ที่หมายถึงการหันมาดูแลใส่ใจกันและกันของคนในองค์กร เพราะเมื่อมีบุคลากรที่ดี ก็จะส่งผลให้งานออกมาดี”
นพ.ชาญวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ คือการนำความรู้ที่มีมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพื่อนำกลับมาใช้ดูแลกัน โรงพักก็เป็นอีกมิติหนึ่งในการสร้างนวัตกรรมใหม่ของ บ ว ร (บ้าน วัด โรงพัก) ซึ่งเราสามารถทำในสิ่งที่เราอยากทำให้เกิดขึ้นได้ แต่การจะทำให้สิ่งนั้นออกมาดีและประสบความสำเร็จทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อขยายออกไปในวงกว้างต่อไป
“ถ้าเป็นไปได้เราพยายามขยายสู่โรงพักทั่วประเทศ คิดว่าสำคัญมาก ซึ่งสถานการณ์ของภาค 5 ในตอนนี้ต่างจากในอดีตเยอะ ทุกคนมองคำว่า ‘สุขภาพ’ ในมิติที่ใหญ่ขึ้น เพราะสุขภาพไม่ใช่ร่างกายแข็งแรงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงจิตใจและสังคมด้วย เราจะเห็นความหลากหลายที่เกิดขึ้น จากเดิมที่เป็นหมอกับคนไข้ ตอนนี้พ่อแม่ดูแลกัน ลูกดูแลพ่อแม่ คุยกันเรื่องสุขภาพตัวเอง การนำเอาความรู้มาแลกเปลี่ยนกันจะนำไปสู่ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น” ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กรทิ้งท้าย
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข