สสส.จับขรก.หัวเราะบำบัดเครียด
เมื่อวันที่ 25 ก.พ. สำนักพัฒนาบุคลากร สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ โครงการสร้างเสริมสุขภาพในองค์กรนิติบัญญัติ ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. จัด “โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ : รักษ์สุขภาพ” รุ่นที่ 2 ให้กับข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภา ผู้แทนราษฎร ระดับ 1-6 ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ถนนประดิพัทธ์ กรุงเทพฯ โดยภาคีเครือข่าย สสส. จาก รพ.รามาธิบดี น.พ.ฆนัท ครุฑกูล ผู้จัดการศูนย์หัวใจหลอดเลือดและเมแทบอลิซึม ได้บรรยายพร้อมฉายสไลด์ให้ความรู้เรื่องโภชการอาหาร พร้อมแนะนำการรับประทานอาหารถูกสุขลักษณะจากอาหารหลัก 5 หมู่ นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นประเภทของอาหารที่เสี่ยงก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งนี้ได้มีการแบ่งกิจกรรมเป็น 3 ฐาน เพื่อให้คำแนะนำและความรู้หลักการรับประทานอาหารด้านต่างๆ คือ 1.ฐานคาร์โบไฮเดรต แนะนำเกี่ยวกับการเลือกกินอาหารแต่ละมื้อให้พอเหมาะกับร่างกายของแต่ละบุคคล 2.ฐานโซเดียมหรือเกลือ เกี่ยวกับอาหารแปรรูป เครื่องปรุง และขนมสำเร็จรูป รวมถึงเครื่องดื่มบางชนิดที่มีโซเดียมผสมอยู่ และ 3.ฐานไขมันและโปรตีน เน้นการเลือกใช้และกินน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อควบคุมระดับคอเลส เตอรอลในเส้นเลือด
จากนั้นวิทยากร โดย รศ.เจริญ กระบวนรัตน์ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตร- ศาสตร์ ผู้คิดค้นนวัตกรรมการออกกำลังกายแบบ “ยางยืดเหยียด” ได้บรรยายให้รู้ถึงวิธีการออกกำลังที่ถูกต้องเหมาะสมกับร่างกายในแต่ละวัย พร้อมสาธิตการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ที่ประยุกต์ใช้กับยางยืด ซึ่งจะส่งผลในการช่วยกระตุ้นประสาทรับรู้ความรู้สึกของกล้ามเนื้อ ให้มีปฏิกิริยาการรับรู้ และตอบสนองต่อแรงดึงของยางที่กำลังถูกยืด เป็นผลดีต่อการพัฒนาและบำบัดรักษาระบบการทำงานของประสาทกล้ามเนื้อได้
ขณะที่ อ.พันธ์ศักดิ์ โรจน์วาธรรม ที่ปรึกษาด้านจิตเวชฯ ได้จัดกิจกรรมพร้อมสาธิตการ “หัวเราะบำบัด” เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะในการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดีมีความสุข เป็นการออกกำลังกายที่จะช่วยในอวัยวะส่วนท้อง กระเพาะ ลำไส้ ทั้งนี้การหัวเราะมี 5 ท่าง่ายๆ คือ ท้องหัวเราะ, อกหัวเราะ, คอหัวเราะ, หน้าหัวเราะ และสมองหัวเราะ อย่างไรก็ตามกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรสามารถนำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ส่งผลให้ข้าราชการมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อองค์กร–จบ–
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง