สธ.เตือนระวัง! 14โรคมากับฝน
หากมีไข้สูงกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน ควรพบแพทย์
สาธารณสุขจับตา 90 วันอันตราย “มิ.ย.-ส.ค.” เฝ้าระวัง 14 โรคมากับหน้าฝน “ไชยา” กำชับแพทย์ตรวจผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อแยกแยะโรคให้ทันเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข้หวัดนก” แม้ไทยไร้ผู้ป่วยมา 21 เดือนแล้วก็ตาม ขณะที่ปลัดสาธารณสุข ระบุ พ.ค.ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยใน 14 โรคดังกล่าวร่วมครึ่งแสน ส่วนใหญ่เป็นแล้วรักษาได้ แถมด้วยให้ระวังอันตรายจากภัยอีก 2 อย่าง คือ เชื้อราจากน้ำกัดเท้า และสัตว์มีพิษกัดต่อย ส่วนอธิบดีกรมควบคุมโรค แนะดูอาการเบื้องต้น สำหรับโรคติดเชื้อคือมีไข้สูง ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง ทางที่ดีควรรักษาร่างกายให้อบอุ่น และดูแลสุขอนามัยตัวเองทุกด้าน
กระทรวงสาธารณสุขประกาศเตือนคนไทยดูแลสุขภาพช่วงหน้าฝน โดยเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้อง กันโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน ซึ่งมี 5 กลุ่ม รวม 14 โรค ได้แก่ 1. กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคบิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ เกิดจากกินอาหารดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือกินอาหารสุกๆดิบๆ 2. กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง คือ โรคเลปโตสไปโรซิส หรือโรคไข้ฉี่หนู มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อที่บริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง
3. กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม อาการจะเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย 4. กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ได้แก่ โรคไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน โรคไข้สมองอักเสบเจอี (japanese encephalitis) ซึ่งมียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค ทั้ง 2 โรคนี้อาการจะเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยโรคไข้สมองอักเสบอาจทำให้พิการภายหลังได้ และ 5. โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
นพ.ปราชญ์กล่าวอีกว่า จากการเฝ้าระวัง 14 โรคหน้าฝน ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบผู้ป่วยแล้ว 49,000 ราย ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 99 รักษาหาย มีเสียชีวิตเพียง 19 ราย โดยสถานการณ์โรคโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ นอกจากนี้ประชาชนยังต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้า ที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนานๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง อาจหนีน้ำมาหลบอาศัยในบริเวณบ้านได้
ด้าน นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการนำเด่นๆ ของโรคติดเชื้อหลักๆ คือ อาการไข้ ดังนั้น หากมีไข้สูงและเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจรักษาที่ถูกกับโรค ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง ส่วนยาลดไข้ที่ต้องระมัดระวัง คือยาจำพวกแอสไพริน ห้ามกินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับ 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้ฉี่หนู หากได้รับยาแอสไพริน ซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไป จะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และเสียชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย การป้องกันโรคที่ดีคือขอให้สวมเสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น โดยเฉพาะเด็กกับผู้สูงอายุควรดูแลเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสติดเชื้อโรคทางเดินหายใจได้ง่าย ควรดื่มน้ำสะอาด รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ถ่ายอุจจาระลงส้วม รวมทั้งกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย และแมลงวัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสพื้นที่ชื้นแฉะที่มีการเลี้ยงสัตว์ และสัมผัสปัสสาวะสัตว์
ทั้งนี้ นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้โรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว จึงได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) โรงพยาบาลทุกแห่ง จับตาเป็นพิเศษ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วง 90 วันอันตราย ให้แพทย์ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโดยละเอียด โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนก จะต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าไทยจะยังไม่พบผู้ป่วยมาเป็นเวลา 21 เดือนก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์จากการผสมข้ามสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดนก โดยในหมู่บ้านได้ขอความร่วมมือ อสม. 800,000 คน ติดตามการป่วยของสัตว์ปีกในหมู่บ้าน ตามมาตรการที่มีอยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลทุกวัน
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
update 09-06-51