สธ.เตือนกินเห็ดป่าหน้าฝน
สธ.เตือนประชาชนระวังการกินเห็ดป่า เผยปีก่อนป่วยจากเห็ดพิษกว่า 2,000 ราย
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่าช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค.ของทุกปี มักมีผู้ป่วยหรือเสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยในปี 2553 มีผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษ 1,965 ราย เสียชีวิต 13 ราย พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือภาคเหนือ ผู้ป่วยเกือบ 80% อยู่ในชนบท จังหวัดที่พบมากสุด 5 อันดับแรกคือ จ.เลย อุบลราชธานีศรีสะเกษ นครพนม และมุกดาหาร
นพ.สุพรรณ กล่าวว่า สธ.ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องพิษภัยจากการรับประทานเห็ดผ่านสื่อต่างๆ ในท้องถิ่น โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ป่วย อาจพิมพ์ภาพเห็ดพิษชนิดต่างๆ ทั้งดอกบาน-ดอกตูม เผยแพร่ไปในชุมชน และให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสอบสวนโรคในผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตทุกรายรวมทั้งเก็บตัวอย่างเห็ดป่าที่รับประทานเข้าไป ส่งตรวจวิเคราะห์หาความเป็นพิษเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า อาการของผู้รับประทานเห็ดพิษจะคลื่นไส้ อาเจียนถ่ายเหลว ปวดท้อง โดยจะแสดงอาการหลังรับประทานเข้าไปแล้วประมาณ 20 นาที – 24 ชั่วโมง รายที่อาการรุนแรงจะเสียชีวิตได้ภายใน 1-8 วัน ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะตับวาย ไตวาย
ทั้งนี้ เห็ดมีพิษและเห็ดที่รับประทานได้บางชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก โดยเฉพาะขณะที่เห็ดยังดอกตูม เห็ดพิษชนิดที่สำคัญและมีพิษร้ายแรงสุดถึงขั้นเสียชีวิตที่พบได้บ่อยคือเห็ดระโงกหิน เห็ดระงากหรือเห็ดสะงาก เห็ดไข่ห่าน และเห็ดไข่ตายซาก และแม้จะปรุงสุกแล้วพิษก็ยังอยู่เนื่องจากความร้อนทำลายไม่ได้
นพ.สุพรรณ กล่าวว่า เพื่อความปลอดภัย จึงไม่ควรบริโภคเห็ดที่ไม่รู้จักส่วนเห็ดที่รับประทานได้ ส่วนใหญ่จะเจริญในทุ่งหญ้า ก้านสั้น อ้วนป้อมไม่โป่งพอง ผิวเรียบ ไม่มีสะเก็ด สีผิวของหมวกเห็ดเรียบเป็นสีขาวถึงสีน้ำตาล เรียบจนถึงเส้นใยดึงออกยาก ครีบแยกออกจากกันได้ ระยะแรกเป็นสีชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
ขณะที่เห็ดพิษส่วนใหญ่จะงอกงามในป่า มีลักษณะก้านสูง ลำต้นโป่งพองออกโดยเฉพาะที่ฐานกับที่วงแหวนจะเห็นชัดเจน สีผิวของหมวกเห็ดมีหลายสี เช่น สีมะนาวถึงสีส้ม สีขาวถึงสีเหลือง โดยที่ผิวของหมวกเห็ดส่วนมากจะมีเยื่อหุ้มดอกเห็ดเหลืออยู่ในลักษณะที่ดึงออกได้ บางชนิดสีแดงหรือสีเขียวอมเหลือง สปอร์ใหญ่มีสีขาวหรือสีอ่อน มีลักษณะใสๆ รูปไข่กว้าง
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์