สธ.ชี้อย่าตื่นตระหนกไข้กาฬหลังแอ่น
เผยปกติ 1 ปีพบเพียง 30-40 รายเท่านั้น
สธ.เตือนประชาชนอย่าตื่นตระหนกโรคไข้กาฬหลังแอ่น จากกรณีนาย
นายแพทย์ มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้มอบหมายให้โฆษกกรมควบคุมโรค นายแพทย์
ประเทศไทยมักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี พบมากในกลุ่มที่อยู่รวมกันอย่างแออัด และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก โรคนี้สามารถติดต่อได้โดยการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะ โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลาย เมื่อผู้ป่วยหรือผู้เป็นพาหะ ไอ หรือจาม ก็จะสามารถแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้ โรคนี้มีระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเริ่มปรากฏอาการป่วยของโรคนี้ มักอยู่ในช่วง 2-10 วัน (โดยเฉลี่ย 3-4 วัน) อาการของโรค ได้แก่ เป็นไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะมาก อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บคอ ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่ขา และหลัง ต่อมาจะมีเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจุดแดงขึ้นตามตัว แขน ขา แล้วกลายเป็นจ้ำเลือด สีคล้ำ และสะเก็ดดำในที่สุด ผู้ป่วยมักมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือ มีอาการคอแข็งร่วมด้วย ในรายที่เป็นรุนแรงผู้ป่วยจะซึม ชัก ช็อก และอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี อาทิเช่น ผู้ป่วยตัดม้าม ผู้ป่วยเรื้อรัง เป็นต้น
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า หากมีอาการป่วยสงสัยเป็นโรคนี้ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที ซึ่งแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะต่อการรักษา โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการปฏิบัติตัวให้แข็งแรง คือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือผู้เป็นพาหะ ไม่ใช้แก้วน้ำ ช้อน ฯลฯ ร่วมกับผู้อื่น ควรใช้ช้อนกลางทุกครั้งเมื่อรับประทานอาหารร่วมกัน ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะภายหลังสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย ไม่ควรเข้าไปอยู่ในที่แออัด ผู้คนหนาแน่น อากาศถ่ายเทไม่สะดวกเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้มีโอกาสรับเชื้อจากผู้ที่เป็นพาหะได้ง่าย
นายแพทย์
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
update 08-10-51