ว่าด้วยเขตปลอดน้ำเมา

กว่า 4 ปีแล้ว ที่องค์การต่างๆ ในบ้านเราออกมาขับเคลื่อน เพื่อผลักดันให้กฎหมายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้ความคุ้มครองกับเหยื่อเมาแล้วขับ มาวันนี้มีการผลักดันให้เกิดกฎหมายห้ามขายห้ามดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถและทางสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะมีการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเสนอคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้

นายสุรสิทธิ์ ศิลปงามนายสุรสิทธิ์ ศิลปงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ แสดงความเห็นว่า เป็นเรื่องที่เครือข่ายที่ทำงานด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อสู้มานาน พบว่า ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น อุบัติเหตุจราจร การล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาครอบครัว มีต้นตอมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น

“การเพิ่มข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นมาถือเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่กังวลมากที่สุด คือ การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพื้นที่ใดมีเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยมิชอบ จะกลายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐไปโดยปริยาย” นายสุรสิทธิ์ ระบุ

ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ ยังบอกด้วยว่า การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง จริงจัง และทำให้เกิดผลดีในเรื่องมาตรฐานด้านต่างๆ ทำให้คนไม่กล้าทำผิด รวมทั้งใช้มาตรการทางสังคมเข้ามาช่วย โดยดูตัวอย่างจากการสูบบุหรี่ที่ช่วยกันผลักดันให้คนสูบบุหรี่มีพื้นที่ในการสูบบุหรี่น้อยลง อีกทั้งรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขในเรื่องช่องว่างทางกฎหมาย

ว่าด้วยเขตปลอดน้ำเมาด้านผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนทุพพลภาพ นิกร หงษ์สา กล่าวว่า กฎหมายลูกห้ามขาย ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดบนทางสาธารณะ เป็นเรื่องที่ควรนำมาใช้นานแล้ว จึงขอสนับสนุนและเห็นด้วยเต็มที่ สิ่งที่เป็นห่วงคือ กฎหมายสามารถจะออกมาในรูปแบบใดก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติจะทำได้จริงหรือไม่

ขณะที่ นางวณัจยา แก้วนุ้ย ตัวแทนจากสมาคมภัตตาคารไทย มองว่า ผู้ประกอบการร้านค้าที่ตั้งขึ้นเป็นหลักแหล่งจะได้ประโยชน์กับกฎหมายฉบับนี้ เพราะคนจะหันมาเข้าร้านอาหาร การขายอาหาร กับแกล้มต่างๆ ไม่เฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นการเพิ่มยอดขายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ ต่อไปนี้ คนที่ดื่มเหล้าต้องดื่มอย่างถูกที่ถูกทางมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีร้านค้าแผงลอยริมถนน ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่มีใบอนุญาตขายและขายนอกเวลาที่กำหนด ซึ่งผิดกฎหมายทั้งสิ้น

“เมื่อกฎหมายฉบับนี้ผ่านแล้วสิ่งที่ต้องเร่งทำคือการประชาสัมพันธ์ ส่วนผู้บริโภคจะรู้กฎหมายข้อนี้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบจะปิดช่องโหว่และนำกฎหมายออกมาปฏิบัติใช้ได้จริงแค่ไหน อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้จะยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่หากมีความเข้มงวด เอาจริงเอาจังต่อไปการบังคับใช้ก็ประสบความสำเร็จได้ ที่สำคัญต้องไม่มีการแทรกแซงกฎหมาย และขอให้ข้าราชการปรับทัศนคติว่าสิ่งเหล่านี้ทำได้ยาก จนนำมาสู่การปิดตาข้างเดียว” นางณัจยา กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

 

Shares:
QR Code :
QR Code