`วิ่งให้ดีต้องมีพื้นฐาน`

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


'วิ่งให้ดีต้องมีพื้นฐาน' thaihealth


ต้องยอมรับว่ากระแสการออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรียกว่าเป็นยุคแห่งรันนิ่งบูม โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว


งานวิ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจำนวนนักวิ่งที่ให้ความสนใจเข้าร่วมมากขึ้น การวิ่งมีหลายประเภท นอกจากวิ่งบนท้องถนน วิ่งเทรลในเส้นทางธรรมชาติแล้ว ยังมีการวิ่งมาราธอนซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ซึ่งต้องมีการเตรียมตัว ไม่ได้เป็นเพียงแค่มีรองเท้าคู่ใจแล้วออกไปวิ่ง เพราะการวิ่งอย่างถูกต้องจะป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นหัวใจของการออกกำลังกายให้ได้ประโยชน์ที่สุด


อีกกิจกรรมที่แนะนำให้นักวิ่งเข้าสู่เส้นชัยได้ทุกคน สำนักงานกองทุนส่งเสริมการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ "วิ่งให้ดีต้องมีพื้นฐาน" โดยมี รศ.เจริญ กระบวนรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาของเมืองไทยและผู้ทรงคุณวุฒิ แผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย สสส. ร่วมถ่ายทอดความรู้และแบ่งปันเทคนิคการวิ่งอย่างถูกต้อง


รศ.เจริญ กล่าวว่า การออกกำลังกายทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ เช่นเดียวกันกับการวิ่ง ซึ่งความรู้เรื่องการวิ่งปัจจุบันสามารถหาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต แต่ทักษะการวิ่งที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน โดยเฉพาะเมื่อเราก้าวสู่การวิ่งเพื่อแข่งขัน การฝึกฝน และเข้าใจจังหวะการวิ่งที่เหมาะสมกับตนเองเป็นเรื่องสำคัญ


สำหรับองค์ประกอบพื้นฐานของการวิ่ง ได้แก่ 1.อัตราการเร่ง (Acceleration) 2.ความเร็วสูงสุด (Maximum Speed/Absolute Speed) 3.ความเร็ว อดทน (Speed Endurance) และ 4.ท่าทางและเทคนิคการวิ่ง (Running Form and technique)


"คนที่หันมาวิ่งเพื่อการแข่งขัน ส่วนใหญ่อยากจะวิ่งให้เร็วขึ้นเพื่อทำสถิติเวลาของตนเองให้ดีที่สุด ซึ่งกุญแจสำคัญของการวิ่งให้เร็ว ได้แก่ ระยะทางและเวลา นักวิ่งควรกำหนดเป้าหมายของตนทั้งระยะทางและเวลาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วต้องกำหนดวิธีการวิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น หากเป็นคนที่วิ่งเร็วควรปรับการแกว่งแขนให้สอดคล้องกับความเร็วของตน ท่าทางการวิ่งที่เหมาะสมจะทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้น และยังสามารถประคับประคองรักษาระดับความเร็วให้คงที่ได้ตลอดระยะทางการแข่งขัน" รศ.เจริญแนะนำ


สำหรับท่าวิ่งที่ถูกต้อง ผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์การกีฬาแถวหน้าของไทยบอกว่า ควรวางแขนให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ศอกทำมุมประมาณ 90 องศา การจัดตารางการฝึกซ้อม โดยควรฝึกซ้อมหนักสลับเบาและปานกลาง โดยเทคนิคของการจัดตารางขึ้นอยู่กับแต่ละคน ไม่มีสูตรที่ตายตัวในการจัดตารางฝึก ถ้าช่วงแรกที่ต้องเสริมฐานมากๆ ก็อาจฝึกสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือวันเว้นวันก็ได้


รศ.เจริญย้ำว่า กีฬาทุกอย่างมีหลักการและพื้นฐาน แต่ขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ให้เหมาะสม ความมุ่งมั่นตั้งใจและความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อมเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับการที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ช่วยเป็นเกราะป้องกันปัญหาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายได้เป็นอย่างดี


สิริธนิยา สถิตพิธนากุล นักวิ่งมือใหม่วัย 48 ปี ร่วมกิจกรรม กล่าวว่า ตนเพิ่งหันมาสนใจการวิ่งมาประมาณ 1 ปี แต่เริ่มฝึกซ้อมและวิ่งตามงานวิ่งต่างๆ มา 6 เดือน สาเหตุที่ทำให้หันมาวิ่งเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น แล้วอยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเพื่อตนเองและคนในครอบครัว ไม่เคยทราบมาก่อนว่าการวิ่งมาราธอนจะต้องมีหลักการหรือพื้นฐานอะไรบ้าง จนได้มาเห็นข้อมูลในสื่อออนไลน์ของ สสส.ว่ามีการอบรมเกี่ยวกับพื้นฐานการวิ่ง เกิดความสนใจและเข้ามาร่วมฝึก ถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการวิ่งในงาน วิ่งสู่ชีวิตใหม่ Thai Health Day Run 2017 ที่จัดโดย สสส. ในวันที่ 12 พ.ย.60 นี้


"การวิ่งไม่ได้ให้แค่สุขภาพที่แข็งแรง แต่ยังเป็นการฝึกความมีระเบียบวินัยของตนเอง ที่สำคัญอายุไม่ได้เป็นอุปสรรค อยู่ที่ใจของตัวเราเอง สำหรับใครที่กำลังอยากลองเริ่มวิ่ง มาร่วมสัมผัสบรรยากาศการวิ่งที่ให้มากกว่าสุขภาพในงาน Thai Health Day Run 2017 วันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ที่สะพานพระราม 8 ให้สนามนี้เป็นสนามแรกที่ทำให้คุณก้าวไปสู่ชีวิตใหม่กัน" นักวิ่งสาวเชิญชวนคนไทยทิ้งท้าย เพราะจะได้มีโอกาสเติมเต็มความสุขจากการวิ่ง ความสนุก สนานและมิตรภาพระหว่างเส้นทางสู่เส้นชัย


นักวิ่งสนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของงานวิ่ง Thai Health Day Runได้ที่ เฟซบุ๊ก Thai Health Day Run (https://www.facebook.com/thaihealthdayrun/)

Shares:
QR Code :
QR Code