“วิ่งสู่ชีวิตใหม่” สานต่อความดีของพ่อ
เรื่องโดย : นายฉัตร์ชัย นกดี team content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
แฟ้มภาพ
ผ่านพ้นไปแล้วกับกิจกรรมดีๆ เพื่อสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง “Thai health Day run 2016” ภายใต้คำขวัญ “วิ่งสู่ชีวิตใหม่” ปีที่ 5 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ สนามเทพหัสดิน สนามกีฬาแห่งชาติ จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทยและกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีนักวิ่งให้ความสนใจกว่า 6,000 คน ภายในงานยังมีพิธีถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ พร้อมกิจกรรมร่วมใจทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลช่วยกันทำความสะอาดบริเวณสนามกีฬาแห่งชาติและบริเวณโดยรอบ
“นพ.โสภณ เมฆธน” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้แทน รมว.สาธารณสุข ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกองทุน สสส. คนที่ 1 เป็นประธานเปิดงาน “Thai Health Day Run 2016” กล่าวว่า การวิ่งในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นงานวิ่งเพื่อสุขภาพระดับชาติ มีผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ซึ่งการจัดกิจกรรมงานวิ่ง แต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สามารถจุดกระแสการรักสุขภาพให้ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้เกิดนักวิ่งหน้าใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนตัวเอง ให้หันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันนี้คนทั่วโลกต่างมีปัญหาสุขภาพจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กันมากขึ้น สาเหตุหนึ่งมาจากการขาดการออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกเน้นกันมากว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตประจำวันได้เคลื่อนไหวมีความกระฉับกระเฉง ซึ่งงานวิ่งสู่ชีวิตใหม่ทำให้ประชาชนได้มีกิจกรรมทางกายมากขึ้น
ด้าน “ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์” ผู้จัดการกองทุน สสส. เสริมว่า การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ไม่เพียงช่วยให้เรามีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น ในการลุกขึ้นมาออกกำลังกายอีกด้วย โดยในปีนี้มีได้มีการเชิญชวนให้นักวิ่งทุกคนร่วมกันตั้งปณิธานทำดี ร่วมเป็นหนึ่งในจิตอาสาพลังแผ่นดิน เพื่อส่งต่อความดีและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน
“การสร้างให้แข็งแรงไว้ย่อมดีกว่าการมาตามซ่อมในภายหลัง ร่างกายคนเราก็เช่นกันถ้ารอให้ป่วยเสียก่อนแล้วค่อยมารักษาบางทีก็อาจจะไม่ทันแล้ว” เป็นทัศนะของ “ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม” ที่ปรึกษาคณะกรรมการ สสส. ผู้บุกเบิกกิจกรรมวิ่งสู่ชีวิตใหม่ พร้อมอธิบายว่า โรคที่คร่าชีวิตคนสมัยก่อนล้วนแต่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทั้งสิ้น
แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่า คนเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคมะเร็ง ซึ่งมีสาเหตุจากวิถีชีวิตที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว รวมถึงพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งการออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินวิ่งวันละ 3-5 กิโลเมตร จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้ได้
ด้าน “กนกวรรณ หน่าย” พร้อมด้วยลูกชาย 2 คน “น้องไบร์ท-นายธนัช” อายุ 18 ปีและ “น้องโบอิ้ง-ด.ช.ธนบดี ศรีสุริยะปพน” อายุ 9 ปี” ผู้เข้าร่วมกิจกรรมบอกเล่าความประทับใจว่า ชอบออกกำลังกายกันทั้งบ้านอยู่แล้ว ซึ่งการวิ่งมาราธอนเหมือนจะหนักแต่ความจริงแล้วไม่หนักอย่างที่คิดกัน วิ่งได้เรื่อยๆ เพราะไม่ได้บังคับให้ต้องวิ่งเร็ว จะวิ่งหรือเดินก็ได้ตามความถนัดของเรา ด้าน “น้องโบอิ้ง” เล่าว่า มาตามคำชวนของคุณแม่ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 แล้วกับกิจกรรมนี้ และรู้สึกชอบการวิ่งเพราะได้ความสนุกสนานแถมได้สุขภาพที่แข็งแรง ส่วน “น้องไบร์ท” เสริมว่า เวลาวิ่งจะรู้สึกสดชื่น การวิ่งยังช่วยทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น ได้ฝึกความทนทานของร่างกายและจิตใจ
เช่นเดียวกับ “สังคีต ศรีพระราม” อายุ 28 ปี ผู้พิการที่เข้าร่วมกิจกรรม เผยว่า อยากมาร่วมถวายความอาลัยแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้ส่วนตัวจะเป็นผู้พิการนั่งรถเข็น แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อม ทำให้การเข้าร่วมกิจกรรมระยะทาง 10 กิโลเมตรไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งทุกวันนี้โอกาสของคนพิการเปิดกว้างมากขึ้น จึงอยากให้คนพิการได้ออกมาช่วยกันสร้างแรงบันดาลใจในการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม
สอดคล้องกับ “เฟิร์น-น.ส.ชลันดา ใหญ่ธรรมสาร” อายุ 23 ปี เล่าว่า เริ่มวิ่งเพราะคำชักชวนจากคุณแม่ และชอบชื่อกิจกรรมวิ่งสู่ชีวิตใหม่ เพราะสามารถนำไปใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ ซึ่งทีแรกก็ไม่ชอบวิ่งเพราะเจ็บเท้า แต่พอวิ่งหลายๆ งานก็ติดใจ ทั้งที่เป็นคนหนึ่งที่ไม่คิดจะวิ่งมาก่อน ขอเพียงเรามาวิ่งแล้วรู้สึกสดชื่นกับอากาศยามเช้าก็เพียงพอแล้ว อยากชวนให้ทุกคนลองออกมาวิ่งกัน
แม้สูงวัยแต่ไม่ใช่ปัญหา “สมศักดิ์ เชยกลิ่น” ในวัย 75 ปี บอกว่า ปกติซ้อมวิ่งอยู่เป็นประจำ การมาวิ่งรายการนี้จึงค่อนข้างสบาย สำหรับผู้สูงอายุสามารถเริ่มวิ่งจากระยะทางใกล้ๆ ก่อนแล้วค่อยเพิ่มระยะทางหรืออาจจะเดินก็ได้ อย่าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านแต่ขอให้มาออกกำลังกายกันมากๆ เพราะดีต่อสุขภาพ
ขณะที่ “ดีเจบาร์จ-กัลย์ยุทธพงศ์ นพคุณ” จาก Seed 97.5 FM ร่วมวิ่งสู่ชีวิตใหม่สร้างสีสันให้กับงาน เผยว่า รู้สึกได้คลายความเครียดจากภาระต่างๆ ในชีวิตประจำวัน หากมีความทุกข์ใจอะไรการวิ่งช่วยได้ การวิ่งเหมือนการทำสมาธิ เหมือนกับว่าเราได้ฟังเพลงที่เราชอบ วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกดดันตัวเองว่าจะต้องทำเวลาให้ได้เท่าไหร่ และการวิ่งยังทำให้ร่างกายมีความอึดมากขึ้นไม่เหนื่อยง่าย
ปิดท้ายกันที่ผลการแข่งขันปรากฏว่า “บุญถึง ศรีสังข์” นักวิ่งมาราธอนทีมชาติไทย ผู้ชนะเลิศคว้าแชมป์โอเวอร์ออล ด้วยเวลา 33.56 นาที ครองถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี บอกว่า ค่อนข้างพอใจกับเวลาที่ทำได้หลังจากที่ซ้อมมาสักพักหนึ่ง หลังจากจบการแข่งขันโอลิมปิกที่ประเทศบราซิล และกิจกรรมนี้ถือเป็นการเตรียมซ้อมเรียกความฟิต เพื่อร่วมแข่งขันซีเกมส์ที่ประเทศมาเลเซียในปีหน้า
ขณะที่นักวิ่งหญิงคนแรกเป็นของ “วรพรรณ นวลศรี” นักวิ่งทีมชาติไทย เข้าด้วยเวลา 39.48 นาที เล่าว่า การวิ่งสู่ชีวิตใหม่มีความหมายกับตัวเองมาก เพราะเมื่อก่อนเป็นแค่เด็กธรรมดา แต่พอมาเป็นนักวิ่งชีวิตก็เปลี่ยนได้เรียนที่ดีๆ มีที่ทำงานดีและมีเพื่อนดี นอกจากนี้การวิ่งยังช่วยทำให้สุขภาพดีและได้สังคมใหม่ๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การวิ่งก็ง่ายๆ มีเพียงรองเท้าคู่เดียวก็วิ่งได้แล้ว แถมยังได้ใช้สมาธิอยู่กับตัวเองอีกด้วย
ทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต ลองเริ่มจากการวิ่งและคุณจะรู้ว่า การวิ่งเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้จริงๆ แล้วพบกันใหม่ในงานวิ่ง Thai health Day run ครั้งต่อไป