วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตเด็กไทย
18 ส.ค.ของทุกปี เราถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของคนไทย นั่นคือ “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินชลมารคและสถลมารค ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดขึ้น
ทุกครั้งเมื่อพูดถึงวิทยาศาสตร์ ทำเอาหลายคนถึงกับส่ายหน้าหนี เพราะคิดว่าเป็นเรื่องยาก คนฉลาดๆ เท่านั้นถึงจะเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ววิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก และที่สำคัญวิทยาศาสตร์ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพได้อีกด้วย…ได้ยินแบบนี้ทำเอาหลายคนถึงกับทำหน้าสงสัยเลยทีเดียวว่าทั้งสองเรื่องนี้จะกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันได้อย่างไร….
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายชายกร สินธุชัย ผู้จัดการโครงการ(เชิง)วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) บอกกับเราว่า วิทยาศาสตร์ก็คือสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา อีกทั้งประเด็นของสุขภาพก็เป็นประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเรา เมื่อมีปัญหาเราก็ต้องมีวิธีการที่เหมาะสม ในการแก้ไขหรือหาสาเหตุ เพื่อจะนำไปสู่แนวทางการป้องกัน ดังนั้นกระบวนการทางวิยาศาสตร์ในรูปแบบโครงงานจึงเป็นแนวทางหนึ่ง ที่เราจะเอาโจทย์หรือปัญหาด้านสุขภาพ มาเข้าสู่กระบวนการค้นหาสาเหตุและดำเนินการแก้ไข ทั้งสองอย่างนี้จึงเข้ากันได้
ด้วยเหตุนี้จึงเกิด โครงการความร่วมมือนำร่อง “โครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า” ขึ้น เพื่อเป็นการเริ่มต้นกิจกรรมรณรงค์ดูแลรักษาสุขภาพ ของเด็กนักเรียนในโรงเรียนด้วยการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อฝึกให้นักเรียนใช้ ทักษะทางวิทยาศาสตร์และการคิดอย่างมีเหตุผลในการแก้ปัญหา และดูแลรักษาสุขภาพ อนามัยของตนเองครอบครัว และชุมชน
นายชายกร บอกต่อว่า โครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า มีหัวใจสำคัญที่การปลูกฝังให้เด็กนักเรียนรู้จักการสำรวจสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมต่างๆ ในโรงเรียนที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ เป็นการลดความทุกข์และสร้างความสุขในโรงเรียน ไม่ใช่การมุ่งแข่งขันหรือใส่ใจกับความเป็นเลิศทางวิชาการเหมือนโครงงานอื่นๆ ดังนั้นเด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กเรียนดี เพียงแค่สนใจและต้องการเห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเป็นพอ
“ซึ่งภาพรวมของโครงการนั้น เราจะแบ่งรูปแบบออกเป็นส่วนๆ โดยเบื้องต้น เราต้องให้เข้าใจก่อนว่า รูปแบบของโครงงานมันเริ่มจาก การสำรวจ ก็จะเป็นการสำรวจสภาพแวดล้อม พฤติกรรมของนักเรียนในการดำเนินชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร ก็จะทำให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า พฤติกรรมเหล่านั้น สภาพแวดล้อม ทั้งห้องน้ำ โรงครัว โรงอาหาร มีลักษณะเป็นอย่างไร และก็จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปสู่กระบวนการปรับปรุงต่อไปตามมาด้วย การทดลอง ก็จะมีเรื่องการเปรียบเทียบข้อมูล อย่างปัญหาสุขภาพเรื่องของบุคคล เช่น บางคนเป็นกาก เกลื้อน หรือเหา เหตุที่ยกตัวอย่างเช่นนี้ เพราะโรงเรียนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นโรงเรียนที่ขาดโอกาส ที่อยู่ตามชนบทหรืออยู่ตามภูเขา ก็จะใช้เรื่องของภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สั่งสมมา พืชสมุนไพรต่างๆ มาใช้ในการรักษา ทั้งนี้วิธีการนั้นๆ ไม่ได้รับความสนใจหรือไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างถูกวิธี เด็กในโครงการฯ ก็จะนำเอาแนวทางนี้ มาสู่วิธีการทดลอง เพื่อสร้างความมั่นใจ ว่าพืชหรือวิธีการเหล่านั้นของปู่ ย่า ตา ยาย ใช้มานั้นได้ผลและเอาไปใช้แก้ปัญหาสุขภาพของแต่ละคนได้”นายชายกรบอก
นายชายกร บอกอีกว่า ส่วนสุดท้าย คือ การประดิษฐ์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการสร้างเครื่องมือต่างๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต เช่น การประดิษฐ์จักรยานปั่นแล้วได้ออกกำลังกาย การต่อมอเตอร์เพื่อใช้หมุนล้างอุปกรณ์ การทำมอเตอร์เพื่อใช้รดน้ำต้นไม้ หรือในประเด็นปัญหาของชาวบ้านอย่างที่ผ่านมา คือ ปัญหาฝุ่นละอองจากเปลือกถั่วที่ชาวบ้านใช้เป็นอาชีพ ซึ่งเด็กในโครงการก็สามารถประดิษฐ์เครื่องมือปลอกถั่ว ที่สามารถลดปัญหาทั้งฝุ่นละอองและการแพ้จากการสัมผัสถั่วได้อีกด้วย
เห็นแล้วนะคะว่าวิทยาศาสตร์สามารถช่วยสร้างเสริมสุขภาพได้ ซึ่งโครงการฯ นี้ ทำมาแล้วเป็นระยะเวลาเกือบ 5 ปี ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 268 แห่ง โดยนายชายกรกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า จริงๆในหลักสูตรการเรียนทั่วไปก็มีเรื่องของโครงงานวิทย์ฯ อยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าทำอย่างไรที่จะเชื่อมโยงกระบวนการวิทยาศาสตร์ให้ถูกต้อง ชัดเจนและเข้ากับบริบทของวิถีท้องถิ่นได้ ควรพยายามเอาประเด็นสุขภาพที่ใกล้ตัวมาเป็นหัวข้อ นำมาเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหา ทักษะวิธีการตามระบบที่มีอยู่แล้ว อย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นงานใหม่ หรือภาระเพิ่ม ก็จะสามารถบูรณราการแนวทางอันนี้เข้าสู่ระบบการเรียนการสอนที่ปกติได้ รวมทั้งสามารถแก้ปัญหาได้จริงอีกด้วย จึงอยากให้โรงเรียนที่ยังไม่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ลองกลับมามองและทบทวนดู อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเด็กไทยเราในอนาคต
เมื่อสุขภาพเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องดูแล อีกทั้งวิทยาศาสตร์ที่เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราและสามารถทำให้สุขภาพดีได้ด้วย เมื่อเรื่องคนละเรื่องกลายมาเป็นเรื่องเดียวกันได้ ก็นับเป็นผลดีเพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้คนไทยเราสุขภาพดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th