วิกฤติ!สร้าง”จิตอาสา”เปลี่ยนผู้รับเป็นผู้ ‘ให้’ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ปีที่ผ่านมาคนไทยต้องพบกับมหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดอย่างน้อยก็ในรอบครึ่งศตวรรษ จนเกินขีดความสามารถที่รัฐบาลและกลไกราชการจะสามารถรับมือได้ไหว ผู้ที่จะยื่นมือเข้ามาสนับสนุนและเป็นหลักพิงให้ผู้ประสบภัยก็คือ “อาสาสมัคร” (volunteer) และทำให้รู้ว่าแม้ตลอด 4-5 ปีคนไทยจะขัดแย้งแตกแยกในหลายเรื่อง แต่ก็ยังคงมีน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมชาติ ขณะเดียวกันหลายๆ คนเมื่อได้ทำงานอาสาก็มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็น “ผู้ให้” ที่มีบุญคุณต่อผู้รับ ทว่าความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครแบบเฉพาะกิจหรือมืออาชีพ นิยามของพวกเขาก็คือ คนที่ยกมือพร้อมที่จะ ‘อาสา’ ช่วยผู้อื่น
จากความตั้งใจที่จะปั้น em ball เพื่อส่งไปช่วยผู้ประสบอุทกภัยเพียงแค่ไม่กี่พันลูก ปรากฏว่าเพียงไม่กี่วันได้มากกว่า 2 ล้านลูก!! ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการระดมอาสาสมัครท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่าใช้แก้ปัญหาน้ำเน่าได้จริงหรือ? ทั้งหมดนี้คือปรากฏการณ์ที่ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ซีอีโอแห่งสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ในฐานะประธานโครงการทูตความดี พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์อยู่ที่การ ‘ให้’ มากกว่ารับ
“เราทำมานานแล้ว ตั้งแต่โครงการทำดีเพื่อพ่อถวายพระเจ้าอยู่หัวที่ทำกันทั่วประเทศ ทำให้เราได้เห็นถึงพลังตรงนี้ ต้องบอกว่าคนไทยมีจุดเด่นเรื่องจิตอาสาสูง เราเน้นเรื่องความเมตตากรุณา ซึ่งเป็นพรหมวิหาร 4 สองข้อแรก เรามีตรงนี้กันมา ถ้าเป็นภาษาไทยโบราณก็คือประเพณีลงแขก ไปช่วยกันทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะไม่ใช่เป็นงาน ที่เราเป็นเจ้าของเป็นเจ้าภาพแต่เราไปลงแขก นี่เป็นสิ่งที่คนไทยเรามีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยโบราณ มันมีอยู่ในเลือดเนื้อจิตวิญญาณของคนไทย แต่ช่วงหลังๆ เราอาจจะตัวใครตัวมัน แต่ว่าดีเอ็นเอตัวนี้มันยังมีอยู่ หลังจากที่เราทำหลายโครงการโดยเฉพาะโครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจิตอาสามีเยอะมาก ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเยาวชน มีทั้งกลุ่มของสื่อมวลชนในต่างจังหวัด ข้าราชการ นักธุรกิจ เพียงแต่ว่าบางทีเขาไม่มีเวที เขาไม่มีวาระที่ทุกคนมีความสนใจร่วมกัน ก็เลยยังไม่ได้มีโอกาสที่จะแสดงพลัง แต่เราทำมาหลายเรื่องจะเห็นว่าพลังคนเหล่านี้เยอะมาก
อย่างโครงการทูตความดี ก็เป็นอีกปรากฏการณ์ทางสังคม มันเริ่มต้นจากที่ผมเขียนหนังสือ white ocean มันก็เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากว่า การบรรยายหนึ่งหัวข้อปกติถ้าบรรยายเดือนละครั้ง 12 ครั้งต่อปีก็ถือว่าเยอะมากแล้ว คนฟังก็น่าจะน้อยลงๆ แต่ผมบรรยายๆ ไป 350 กว่าครั้ง และยิ่งบรรยายคนยิ่งอยากฟังมากขึ้น ถ้ารับบรรยายเฉพาะเรื่องนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย white ocean เป็นเรื่องของการปรับตัวเองพัฒนาตัวเองให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลง การใช้หลักการ 7 ข้อในการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง หรือว่าหลักทางสายกลางของพระพุทธเจ้า แต่เป็นในเชิงของการทำงานการทำธุรกิจ ซึ่งตอนแรกที่นำเสนอเรื่องนี้ออกไป มีบางองค์กรก็ไม่เห็นด้วยบอกว่ามันเป็นโลกในอุดมคติ แต่เชื่อไหมว่าตอนนี้ทุกคนวิ่งเข้ามาหาหลัก white ocean หมดแล้ว”
“ผมพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อม ใช้สไลด์ชุดเดิมเลย พูดไว้ 3 ปีแล้ว และตอนนี้คนเริ่มเห็น ผมบอกว่าโลกของเราประชากร ณ ขณะนี้ 7 พันล้านคน ความจริงแล้วทรัพยากรบนโลกใบนี้มันมีเพียงพอสำหรับคน 7 พันล้านคน ถ้าเรารู้จักแบ่งปันกัน แต่ว่าทรัพยากรบนโลกใบนี้จะไม่เพียงพอ แม้กระทั่งกับคนคนเดียวที่ไม่รู้จักพอ ละโมบโลภมากหรือว่าโกง ไม่พอ ตอนนี้ผมดีใจมากว่าหลายองค์กรที่ผมกลับเข้าไปบรรยายซ้ำ เขาเปลี่ยนวิสัยทัศน์องค์กร นโยบายการบริหาร เขาบอกว่าสิ่งที่พูดมามันใช่หมดเลย” ก่อนนั้นเราคิดว่าภัยธรรมชาติเป็นเรื่องไกลตัว
“ผมจำได้ว่าผมบรรยายครั้งที่ 313 ผมไปบรรยายที่สุราษฎร์ธานี เดือน มี.ค.ต้นปีที่ผ่านมา และผมก็ฉายสไลด์สึนามิ บอกว่าสึนามิไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยในรอบ 100 ปี แต่ก็เกิดขึ้นที่ภาคใต้ ระหว่างที่บรรยายอยู่วันนั้น วงที่มาฟังเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหลายร้อยคน ก็มีคนยกมือบอกว่าเขาเห็นข่าวจากโทรศัพท์มือถือเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น สึนามิกำลังเข้าญี่ปุ่น ตอนนั้นเราก็ไม่ทราบว่ามันจะรุนแรงอย่างที่เราเห็นข่าวตอนหลังแล้วตกใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกกับคนฟังวันนั้นคือว่า อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะว่าตอนนี้มันเป็นยุคเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เราทุกคนอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เราต้องคอยสังเกต คือ key word คำเดียวที่ผมไปบรรยายผมบอกว่าเราจำเป็นต้องมีการสังเกต อันนี้เป็นภาษาธรรมะที่ลึกซึ้งมาก คือ โยนิโสมนสิการ จริงๆ แล้วศักยภาพทางร่างกายของมนุษย์เราจะด้อยกว่าสัตว์ในแง่ของอายตนะ ตาเราอาจจะมองเห็นสู้สัตว์บางประเภทไม่ได้ แต่ว่าเราพัฒนาทุกอย่างได้หมดจากจิต จิตของเราเป็นหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ต้องฝึก เราอาจจะไม่รู้ตัวก่อนว่าน้ำจะท่วมอย่างมดหรืออึ่งอ่าง ที่รู้ตัวก่อนเวลาแผ่นดินไหว เขาจะสัมผัสเรื่องพวกนี้ได้ แต่มนุษย์เราต้องฝึกที่จิตและฝึกเรื่องการสังเกต เพราะถ้ามนุษย์เราไม่สังเกตก็จะสู้อะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถจะเอาชีวิตรอดได้”
“หลังจาก white ocean ก็เลยเริ่มเดินสาย มันเลยเป็นโอกาสให้ผมเดินทางทั่วประเทศ หลายปีที่ผ่านมาไปหมด นราธิวาส, ยะลา, ปัตตานี ทุกจังหวัดที่อันตรายก็ได้ ทุกคนเห็นเราก็บอกคุณดนัยมาได้ยังไง ผมบอกขอให้เชิญเถอะ-มา ไม่ได้เชิญยากเลย ผมไม่คิดค่าตัวด้วย หลายคนบอกไม่กล้าเชิญเพราะคิดว่าค่าตัวน่าจะแพงมหาศาล แต่สิ่งที่มันเป็นรางวัลสำหรับเรากับการที่เราไปปลุกพลังเด็กในต่างจังหวัด มันเป็นพลังให้เราด้วย เด็กที่ตามทางเฟซบุ๊กทวิตเตอร์เยอะมาก เขาบอกว่าขอบคุณมากที่ให้โอกาสเด็กบ้านนอกอย่างหนู แค่นี้ผมถือว่าได้แล้ว เด็กบางคนเราสอนอะไรไป เขาเขียนมาเล่าคุณอาครับคุณลุงครับ ผมรวบรวมความกล้าอยู่หลายวันกว่าที่ผมจะไปกอดแม่ผมได้ มันเหมือนกับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาก แม่ผมมีความสุขมาก ผมมีความสุขมากเลย
คือปัญหาของเราส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากในครอบครัว สังคมไทยเราเป็นสังคมที่ขาดอย่างรุนแรงเรื่องมุทิตาจิต เราเน้นเมตตากรุณา แต่พอมุทิตาเราหยุดตรงนั้นเลย มุทิตาจิตก็คือ ความรู้สึกชื่นชมยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข สังคมไทยยังมีน้อย เราไม่สามารถชื่นชมคนที่เขาประสบความสำเร็จ เพื่อนร่วมงานได้ดีกว่าเรา เราอิจฉาริษยา มันมาจากวัฒนธรรมที่เราบ่มเพาะกันขึ้นมา เราไปยึดว่าจงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน มันมาจากการปลูกฝังแบบผิดๆ ซึ่งเราต้องแก้ และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเดินสายทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ผมเห็นชัดเจนว่า ปัญหาสังคมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เริ่มต้นจากครอบครัว พ่อแม่ไม่เคยชมลูก ไม่เคยพูดดีกับลูก ผมเข้าไปในสถานพินิจเยอะมาก เด็กที่ติดยาเสพติดซึ่งไม่มีใครมองเห็นหรือมองข้ามเขาไป คือเข้าใจว่าเข้าไปยาก แต่ผมชอบให้กำลังใจกับคนกลุ่มนี้”
“สิ่งหนึ่งที่เราเห็นเวลาให้เขาเขียนความรู้สึก – แม่ครับผมอยากกอดแม่สักครั้งหนึ่ง, แม่ทำงานให้น้อยหน่อยได้ไหม, พ่อครับผมผิดไปแล้วผมติดยา, ผมสัญญากับพ่อว่าผมจะเลิก, พ่อให้อภัยผมนะครับ, พ่อมาเยี่ยมผมบ้าง คือลูกติดสถานพินิจอยู่พ่อไม่เคยมาเลย ช่วงแรกที่ผมเข้าไปสังเกตว่าเด็กกลุ่มนี้เขาจะไม่กล้ามองตาคน เพราะว่าสังคมตีตราเขาแล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี เขาจะหลบๆ ตา ไม่กล้าสู้สายตา แต่เขาจะรู้ว่าใครจริงใจหรือไม่จริงใจกับเขา เราต้องให้โอกาสกับเขา หลังๆ ผมไปเยี่ยมเขากอดไม่ปล่อยเลย ตอนหลังมีจดหมายเป็นพ่อของเด็กกลุ่มนี้ บอกขอบคุณมากที่มาให้กำลังใจเขาให้เขามีที่ยืนในสังคม”
ใครที่สงสัยว่า ทำไมถึงสามารถระดมพลปั้น em ball ได้มากมายขนาดนั้น ก็คงได้คำตอบแล้วว่าเพราะดนัยได้สร้างเครือข่ายอาสามาหลายปีแล้ว
“มีคนมาช่วยจากทั่วประเทศเลย ที่เราคิดปั้น em ball เพราะหน่วยงานบางหน่วยเขาพยายามปั้น แต่มันปั้นได้ไม่เยอะ วันหนึ่งได้เป็นหลักร้อยลูก ก็เลยคิดว่าจะต้องมาช่วยกันปั้นเพื่อเอามาแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย ผมก็คิดว่ามันเป็นกิจกรรมที่ดีนะ และประเด็นของผมคือ ผมจะไม่ชอบช่วยเหลือคนที่ไม่ช่วยตัวเอง ลักษณะผมเป็นอย่างนั้น ไม่ชอบทำกับข้าวแล้วเอาไปแจก อย่างกระบวนการของการช่วยน้ำท่วม ผมจะไม่ช่วยในลักษณะเอาอาหารไปแจก แต่ภารกิจหลักคือต้องเปลี่ยนผู้ประสบภัยให้เป็นผู้กอบกู้วิกฤติให้ได้ บ้านตัวเองก็น้ำท่วม แต่ไม่เคยมีความคิดแม้แต่เสี้ยววินาทีว่าเป็นผู้ประสบภัย คุณแม่ผมอพยพมาจากวัชรพลมาอยู่ที่คอนโดฯ ด้วย แต่ในหมู่บ้าน บ้านผมเป็นบ้านหลังเดียวเท่านั้นที่ไม่ท่วมเลย มหัศจรรย์มาก แต่ใจที่มันไม่กลัวมันก็ไม่โดน ถ้ายิ่งกลัวยิ่งโดน ผมคิดว่าน้ำท่วมเป็นบททดสอบเรื่องความโลภ ความยึดติด ใครยึดมากโดนมากโดนหนัก แต่บ้านผมก็ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลยนะ ยกของขึ้นชั้นสอง แต่อะไรหนักๆ ยกไม่ไหวก็ปล่อย คุณแม่ก็อพยพมาอยู่ด้วยกันมีความสุขมาก และผมมีกรณีศึกษาเยอะนะของหลายๆ ที่ที่รอบๆ ท่วมหมด แต่จุดของเขาไม่ท่วม ทั้งที่โรงงานนครสวรรค์ พุทธมณฑล จรัญสนิทวงศ์”
“เราต้องเปลี่ยน ต้องบอกว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิทธิเสรีภาพในการเลือก มนุษย์มี freedom of choice ขณะที่สัตว์จะทำตามสัญชาตญาณ มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกว่าในเหตุการณ์แบบนี้คุณเลือกที่จะเป็นอะไร คุณเลือกที่จะเป็นผู้ประสบภัยรอรับความช่วยเหลือ หรือคุณจะลุกขึ้นมาดูแลตัวเองและให้ความช่วยเหลือผู้อื่น แต่ผมเข้าใจนะว่าในเหตุการณ์คับขัน แน่นอนเราต้องเป็นผู้ประสบภัยก่อนล่ะ น้ำมาเราก็ต้องขนของย้ายหนี เป็นผู้ประสบภัยมันไม่มีพื้นที่แห้ง อันนั้นผมเข้าใจ และช่วงวิกฤติแบบนั้นเราก็ต้องเข้าไปช่วย แต่หลังจากนั้นในเมื่อมีพื้นที่แห้งแล้ว อยู่ในศูนย์พักพิงฯ แล้ว ถามต่อว่าป่วยหรือเปล่า พิการไหม บาดเจ็บไหม บาดเจ็บทางไหน ทางกายหรือเปล่า-ไม่เลย ที่เราเห็นคือบาดเจ็บทางใจ ปล่อยใจให้บาดเจ็บ ปล่อยใจให้พิการเป็นผู้ประสบภัย ซึ่งไม่ถูกต้อง เรากำลังทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ลดลง
ผมเคยเอาอาหารไปให้เอาของไปแจก ยืนสูบบุหรี่ปุ๋ยๆๆ รอรับอาหาร แล้วยังต่อว่าอีกต่างๆ นานา ถามว่าแล้วร่างกายเขาเป็นอะไรเหรอ ผมถึงสั่งทีมงานว่าหยุด แนวทางการช่วยเหลือแบบนี้ผิดทาง ผู้ประสบภัยแต่ละคนนี่เป็นผู้จัดการ มีตำแหน่งการงานดีๆ ศักยภาพสูงมาก ต้องช่วยกันทำสิ เราถึงมาทำ em ball เราบอกว่าคุณอยากได้ใช่ไหม ยินดีให้ ไม่คิดตังค์เลย มาปั้นเอง นี่คือกลยุทธ์ของผม ผมเปลี่ยนผู้ประสบภัยเป็นผู้กอบกู้วิกฤติ มีคนติดต่อมามหาศาลเลย อยากได้ น้ำเน่ามาก อาม่าบ้านน้ำท่วมอยู่ยังเดินทางมากับลูกหลาน ปั้นแล้วมันมีความสุข มันได้ทำอะไร”
“ประเด็นมันไม่ใช่แค่ลูกบอลที่บำบัดน้ำเสียเท่านั้น แต่มันเป็นลูกบอลแห่งน้ำใจ น้ำใจของจิตอาสา มันเป็นการทำสิ่งเล็กๆ ที่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากๆ และต้องบอกว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมครั้งแรก ที่คนต่างจังหวัดทำเพื่อช่วยเหลือคนกรุงเทพฯ เพราะปรากฏว่าผมมีอาสาสมัครที่ประจวบฯ แสนกว่าลูก มาช่วยกันปั้นทั้งจังหวัดเลย มีทหาร ตำรวจ พยาบาล อนามัย ครู นักเรียน ที่ขอนแก่น คณะแพทย์ เชียงใหม่ ภูเก็ต เราได้มา 2 ล้านกว่าลูก”
ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะปั้นแค่ 8,400 ลูก “ตอนแรกเราคิดว่าจะปั้นแค่ 2,000 ลูก เพราะมีหน่วยงานหนึ่งเขาบอกเขาปั้นได้ไม่ถึงพัน เราเลยบอกงั้นเราขอ 2,000 ลูก เราก็มักน้อย ผมก็ขึ้นเฟซบุ๊กว่าเราจะปั้น em ball นะ ปรากฏว่าคนมาเยอะมาก เลยเพิ่มเป้าเป็น 8,400 แต่วันแรกได้ 20,000 ลูก และที่ได้แค่นั้นเพราะวัตถุดิบหมด วันนั้นออฟฟิศนี่พื้นที่ไม่พอต้องขยายไปลานจอดรถชั้น 7 หลังจากนั้นก็รู้สึกว่า เอ๊ะคนสนใจกิจกรรมอย่างนี้เลยจะปั้นต่ออีก 100,000 ลูกใน 3 วัน ปรากฏว่าคราวนี้คนไหลมาหลายหมื่นเลย ผมได้บอกฝ่ายสำนักงานตึกนี้แล้วว่าคนจะมาเยอะมาก เขาบอกคงจะแค่ 2-3 พัน แต่ผมบอกไม่ครับจะเยอะกว่านั้น เชื่อผมเถอะครับ เขาก็ให้พื้นที่ทั้งหมดของข้างล่าง ไม่พอนะครับ ให้เตรียมไว้เลยทุกชั้น 2, 3, 4 และหน้าตึก ปรากฏวันนั้นต้องปิดตึกเลยคนเข้าไม่ได้ และผมคิดว่าเป็นภาพที่น่ารักนะ เป็นม็อบกะละมังไฮโซ เพราะเราก็เขียนบอกไว้ว่าถ้าใครจะมาปั้นตอนนี้อุปกรณ์เราไม่มีแล้วนะ เราขนทรายมาจากชลบุรี แกลบมาแล้วนะ แต่กะละมังเรามีแค่พันใบมันไม่พอ กะละมัง 1 ใบได้ 5 คน เราก็กะไว้ 5,000 คน แต่คนมา 20,000-30,000 คน ก็เลยถือกะละมังมาด้วย นึกภาพว่ามือหนึ่งถือกระเป๋าแบรนด์เนมแพงๆ อีกมือหนีบกะละมังมา เขาก็นั่งกับพื้นปั้นๆๆ ซึ่งมันเป็นภาพที่เราไม่เคยเห็น ผมถึงบอกว่าจิตอาสาในหัวใจคนไทยมีเยอะ และเราได้เห็นว่าเราสามารถจะดึงพลังจากคนที่อยู่ในโลกออนไลน์ เพราะส่วนใหญ่จะรู้ข่าวทางโซเชียลเน็ตเวิร์กแล้วเขาจะแชร์ๆ กัน”
หากจำได้ขณะนั้นมีนักวิชาการออกมาชี้ว่า em ball นอกจากไม่ได้ทำให้น้ำมีสภาพดีขึ้นแล้ว ยังเร่งให้เน่ามากขึ้น
“จิตตกกันมากเลย เป็นอะไรที่ดรามามากเลย ตอนนั้นเราปั้นกัน 3 วันตั้งเป้าแสนลูก วันพฤหัสฯ, ศุกร์, เสาร์ สองวันแรกคนทะลักกันมาเลย สองวันก็ได้เกือบ 2 แสนลูกแล้ว พอคืนวันศุกร์มีนักวิชาการท่านหนึ่งออกมาพูด ท่านออกมาเบรกว่าปั้นไปน้ำก็จะเน่ามากขึ้น แล้วท่านก็หา logic ไม่เจอว่าของที่มันเน่าโยนลงไปในน้ำที่มันเน่า แล้วน้ำมันจะดีขึ้นได้ยังไง และก็พูดว่าเรามีกากน้ำตาล ท่านก็พูดในมุมของท่าน ซึ่งจริงๆ ผมก็รู้จักท่านด้วยแหละ หลังจากนั้นคนจิตตกมาก ทีมงานโทร.มาหาผมคืนนั้นเลย ประมาณ 5 ทุ่ม บอกพี่เรายกเลิกงานพรุ่งนี้ดีไหม ท่าทางคงจะไม่มีคนมา ผมบอกว่าไม่ยกเลิกหรอกเพราะว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ใหญ่มาก มันคือน้ำใจ อะไรก็ตามที่เราทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ อย่างน้อยมันก็ช่วยคน คนที่มาเขามีความรู้สึกว่าเขามีคุณค่า อันนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
แต่เราก็มั่นใจว่ามันใช้ได้ผลจริงๆ เพราะเราไม่ได้เป็นคนคิด สูตร em เขาทำกันมาหลายสิบปีแล้ว ร้อยกว่าประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เราคิดได้ครั้งแรกในประเทศไทย เราไม่ใช่เป็นเจ้าของสูตร ผมก็บอกกับทีมงานว่าก่อนเราปั้นจำไม่ได้เหรอ พี่เข้าไปพบ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล บอกว่าเราจะปั้น em ball ท่านพยักหน้าบอกปั้นเลยทำเลย มูลนิธิชัยพัฒนาก็ทำมานานแล้ว คือแค่นี้สำหรับผมจบ ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าค่า bod ค่าออกซิเจนเท่าไหร่ๆ ก็ในเมื่อทำแล้วได้ผลทั่วประเทศ แหล่งที่น้ำเน่าหายหมด เราอาจจะไม่มีเวลาลงพื้นที่วัดเพราะเราไม่ใช่นักวิจัย เราเป็นนักปฏิบัติ เราพิสูจน์เอาเลย เพราะฉะนั้นเราต้องทำต่อ และเราก็ลุ้นว่าวันเสาร์จะมีคนมาไหม ปรากฏว่าคนยังทะลักมามากกว่าเดิม แต่ผมก็ไปยืนแอบฟังเด็กวัยรุ่นที่เขาเข้าคิวรอรับวัสดุอุปกรณ์ ไปยืนแอบฟังว่าเขาพูดอะไร เขาบอกเธอเราจะมาปั้นกันทำไมนะเนี่ย ยิ่งปั้นมันยิ่งเน่าไม่ใช่เหรอเธอ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ก็มีข้อความที่ส่งมาทางเฟซ บุ๊ก คุณดนัยมีหลายคนจะถอนตัวนะ เพราะเห็นว่ามีนักวิชาการออกมาค้านว่ามันทำให้น้ำเน่ามากขึ้น มันก็เกิดความโกลาหลและทำให้คนจิตตกมากพอสมควร เห็นว่าหลายๆ ที่ถูกสั่งระงับด้วยครับ เพราะคิดว่ามันจะไม่ได้ผล เสียเวลา”
สังคมไทยมักเป็นแบบนี้ เมื่อมีกระแสข่าวอะไรก็พร้อมที่จะเชื่อทันที
“สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ได้ยึดหลักกาลาม สูตร เราเป็นสังคมที่เฮโลตามกันทางความคิด กรณีนี้มันง่ายมากเลย คุณก็พิสูจน์เองสิ ถ้าน้ำเน่าที่บ้านหรือที่ไหนก็ปั้นแล้วพิสูจน์ดู แต่สิ่งที่ผมแฮปปี้มากก็คือว่าเหมือนกับเราได้ทำบุญใหญ่ ดีนะที่เราไม่เขวไปตามคำพูดของคนคนเดียว ปรากฏว่าทุกคนเลยที่ได้รับ em ball ไป ถ่ายรูปมาน้ำดำปี๋ เขาโยนไป 3-4 วันน้ำมันใส แล้วปลาว่ายกลับเข้ามา ผมว่าแค่นี้ก็โอเคแล้ว หลายๆ บ้านโทรศัพท์เข้ามา เขาเครียดเพราะน้ำท่วมเขายังพออยู่ได้ แต่น้ำเน่าอยู่ลำบาก เพราะมันเหม็นมาก แต่ em ball ช่วยได้หมด ช่วยแม้กระทั่งว่ากำจัดยุง แมลงวัน และข้อกล่าวหาต่างๆ เราแก้ได้หมดเลย ต้องบอกว่าตอนหลังเราเลยได้ทำความรู้จักกับเจ้าน้ำยา em จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย จากภัยพิบัติครั้งนี้มันทำให้เราฉลาดขึ้น เราไม่เคยรู้จักกลุ่มจุลินทรีย์กลุ่มนี้ ผมเลยต้องไปทำการศึกษาละเอียดเลยนะ เขียนบทความอีก 10 กว่าชิ้นเรื่องจุลินทรีย์มีคุณธรรม ผมเรียกเขาว่าจุลินทรีย์มีคุณธรรม ซึ่งมันต้องมาจากใจที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่นด้วย อันนี้สำคัญ เข้าไปศึกษาเรื่องนี้เยอะๆ เลยได้เพื่อนด้วย ได้เครือข่ายจุลินทรีย์มีคุณธรรมแห่งชาติ ผมตั้งชื่อนี้เลยนะ (หัวเราะ) เราได้เปิดหูเปิดตา รู้จักมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ อาจารย์วิวัฒน์ ศัลยกำธร อาจารย์เดชาที่อยู่สุพรรณบุรี เขาทำมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ตัวจริงเสียงจริง ผมเชื่อคนเหล่านี้มากกว่าเชื่อนักวิชาเกิน แล้วเวลาเรียกมาทดสอบด้วยกันก็ไม่มาอีก”
แม้ขณะนี้จะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ภารกิจไม่จบลงเพียงเท่านี้ เพราะระหว่างน้ำท่วมนั้น อาสาสมัครได้ลงไปสร้างกระบวนการเรียนรู้ในศูนย์พักพิงฯ โดยดึงศักยภาพผู้ประสบภัยออกมาใช้ ซึ่งนี่จะเป็นโมเดล ‘ทูตอาสาสร้างสุขปลุกพลังไทย’
“นี่เป็นโมเดลหนึ่งที่กำลังพัฒนา คือผมกำลังมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งเดียว มันมีอีกแน่นอนและมันอาจจะหนักกว่านี้ ซึ่งจากสิ่งที่เราได้เห็นก็คือว่า ประเทศเราขาดแผนในการรองรับเรื่องของภัยพิบัติต่างๆ ภัยพิบัติมันไม่สำคัญเท่ากับใจที่พิบัติ ต้องรักษาใจ มันต้องมีระบบตรงนั้นด้วย และสิ่งที่ผมให้ความสำคัญสูงสุดก็คือ คุณค่าความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่าให้มันหายไป ไม่อย่างนั้นเราจะยืนกันไม่ได้เลยทั้งสังคม ต้องเปลี่ยนวิธีการคิด เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามพัฒนาโมเดลอันนี้ ก็กำลังร่วมมือกับ สสส.และอีกหลายหน่วยงานเลยว่า ทำยังไงถ้ามีครั้งต่อไป เราเอาครั้งนี้เป็นเหมือน pilot (ตัวนำร่อง) ให้เรียนรู้ เรามีอาสาสมัครเข้าไปฝังตัวในศูนย์พักพิงฯ เราจะต่างจากองค์กรอื่นที่ว่าไปร้องเพลงให้เขาฟัง เล่นตลก เป่าลูกโป่งให้เด็กๆ แล้วก็ออกมา ท้ายที่สุดคนที่อยู่ในศูนย์พักพิงฯ ก็เหมือนเดิม แล้ว feedback ของศูนย์พักพิงฯ เขาบอกว่าเขาไม่ใช่สวนสัตว์ ไม่ใช่ว่าเอาของไปให้เขาแล้วถ่ายรูป เราเข้าใจว่าองค์กรก็อยากจะเอาของไปให้ แต่ถามว่าเราได้รักษาจิตใจเขาไหม เขามีความเป็นมนุษย์นะ สมมติว่าเอาของให้ผม จากที่ผมเคยรู้สึกภูมิใจในตัวเอง ความรู้สึกเหล่านี้จะน้อยลงนะ คนเรามันจะมีคุณค่าและความหมาย เมื่อเรามีโอกาสได้ให้มากกว่าที่เป็นผู้ได้รับ”
“เรามีหลายโมเดลเลย แต่หลักคิดคือ ผู้ประสบภัยจะต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือพึ่งพาตัวเอง อย่างเรื่องอาหารเราก็เลยตั้งครัวชุมชน ผมเริ่มจากชัยนาทก่อนเพราะเริ่มน้ำท่วม พระอาจารย์วัดเทพหิรัณย์ท่านโทร.มาบอกขอบคุณมากนะโยม คนกรุงเทพฯ ใจบุญมากเลยส่งข้าวกล่องไปให้ ส่งไปเยอะมาก แต่ว่าฉันไม่ได้เลยมันบูด ลองคิดดูสิ ทำอาหารกล่องจากกรุงเทพฯ ต้นทุนเท่าไหร่ โฟมไปไหนเป็นขยะอีกต่างหาก ค่าขนส่ง และก็ไม่ทั่วถึง ผมบอกทำยังไงดีครับท่านอาจารย์ ท่านบอกเปิดโรงทานที่วัด เพราะวัดยังไม่โดนน้ำท่วม เราก็ช่วยสามารถจะทำอาหารวันละ 12,000 กล่อง ใช้งบแค่วันละ 40,000 บาท เพราะข้าวชาวบ้านเขาก็มี วัตถุดิบในท้องถิ่นเขามีอยู่แล้ว และไม่เหลือทิ้งเลย เอามาใช้ประโยชน์ได้หมด ค่าขนส่งก็ไม่ต้องมี แต่สิ่งที่ผมมองคือ ใจที่คนที่อยู่ตรงนั้นเขาลุกขึ้นมาช่วยกันหมด มันต่างกันเยอะมาก จากที่เคยรอรับ เขามาลงแขกกัน นี่คือโมเดลที่เราจะต้องมีให้ได้”
“หรือว่ากลุ่มศิลปินต่างๆ ที่ไปสอนโน่นนี่นั่น ไปร้องเพลง ไม่ใช่ คุณต้องให้เขาร้อง คุณลุงคุณป้าเขาจะมีวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละจุด แต่ละศูนย์พักพิงฯ แต่เราต้องเข้าใจก่อน ต้องรู้ก่อนว่ามีอะไร เพราะว่าการที่เขาได้ร้องด้วยตัวเขาเองมันเปลี่ยนทันทีเลย จากซึมเศร้าหงอยเหงาเป็นผู้รอรับ เขาจะรู้สึกเขามีพลังขึ้นมาทันทีเลย หรือแทนที่เราจะไปสอนอาชีพเขา ไม่ใช่หรอกเพราะภูมิปัญญาไม่ได้ถูกน้ำพัดพาไปด้วย มีภูมิปัญญาเยอะแยะมากเลยที่อยู่ในแต่ละศูนย์ฯ ดึงขึ้นมาแล้วสร้างเป็นเครือข่ายสอนกัน และที่สำคัญ จุดที่จะต้องพัฒนาให้มีให้ได้คือเรื่องของ camp management หมายถึงว่าผู้ที่อยู่ในศูนย์ฯ จะต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการศูนย์ฯ ได้เอง คือเขามีผู้นำโดยธรรมชาติ มีใครบ้างเป็นผู้นำ ผู้นำในด้านไหน นำทางด้านกิจกรรม สันทนาการ เขาทำกันเอง แต่เราอาจจะเข้าไปช่วยเหลือในบางเรื่อง สมมติถ้ามีศูนย์ฯ เป็นร้อยเป็นพันศูนย์ฯ เขาจะ run ได้เองหมด”
จากบทเรียนในคราวนี้ หากถามว่าปีหน้าจะเตรียมรับมืออย่างไร ดนัยแนะเพียงว่าอย่าฝืนธรรมชาติ
“สิ่งที่สำคัญที่ผมคิดว่ามันสอนเราก็คือว่า จริงๆ แล้วเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์ไปฝืนธรรมชาติไม่ได้ เราเห็นชัดเจนเลยว่าเรากำลังทำอะไรที่ฝืนอยู่ เอากิเลสขึ้นมาฝืนธรรมชาติ ยกตัวอย่างกั้นพนัง กั้นไว้ๆ มันยิ่งทำให้แรงอัดของน้ำสูงมากขึ้น เราถึงไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เพราะแต่ละคนพยายามที่จะกั้นๆๆ ท้ายที่สุดบอกว่าเอาอยู่ มันเอาไม่อยู่ ยิ่งกั้นพนังสูงเท่าไหร่แรงอัดของน้ำยิ่งสูงมากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราควรจะต้องเรียนรู้ที่สำคัญมากก็คือว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ต้องรู้จักธรรมชาติ อย่าไปฝืน น้ำไหลก็ให้ไหล แต่ไหลยังไงให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด อย่าไปกั้น มันชัดเจนว่ากั้นไม่ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในกระแสแห่งธรรมชาติ ไม่ฝืนไม่ต้าน ต้องเข้าใจต้องยอมรับ ในทำนองเดียวกันในเชิงธรรมะ ใจของเราเราต้องไม่กักเก็บอะไรไว้ในใจเหมือนกัน อย่างเช่นหลายคนมีพนังกั้นน้ำไว้ในใจ สิ่งที่ไม่ดี ความคิดไม่ดี อารมณ์ไม่ดี ความหงุดหงิดฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ท้ายที่สุดแรงอัดมันโดนตัวเองก่อน แล้วมันก็จะไปทำลายล้างคนที่อยู่รอบข้างเราด้วย”
สำนักข่าวต่างประเทศเพิ่งจัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศใจบุญที่สุดในโลก ซึ่งพิจารณาจากภาพที่เขาเห็นความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มันสะท้อนว่าคนไทยมักจะรักกันเวลาคับขัน แต่ในยามปกติก็ยังทะเลาะกัน-ขาดความสามัคคี
“คนไทยส่วนใหญ่ใจบุญเพราะเน้นเรื่องการทำทาน มาจากอิทธิพลทางพุทธศาสนา เราเน้นเรื่องการให้ทานมาก ทำบุญตักบาตรหรือว่าบริจาคทาน แต่มันคนละเรื่องกันกับความสามัคคีปรองดอง ทานขั้นที่สูงที่สุดคือเรื่องของอภัยทาน ทานมี 4 ระดับ ระดับที่หนึ่งวัตถุทาน บริจาคทรัพย์สินเงินทองสิ่งของคนไทยเราทำเยอะเลย วัตถุทานพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าทำ 100 ครั้ง อานิสงส์ไม่เท่ากับวิหารทาน ก็คือช่วยสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ ศาลาวัด โรงเรียน โรงพยาบาล ที่เป็นประโยชน์กับมหาชน จะมีอานิสงส์สูงว่าวัตถุทานวิหารทาน 100 ครั้ง อานิสงส์ไม่เทียบเท่ากับธรรมทาน เปลี่ยนคนที่คิดผิดให้กลายมาเป็นคนที่คิดถูก อันนี้อานิสงส์จะสูงมาก จากมิจฉาทิฐิเป็นสัมมาทิฐิ นั่นคือธรรมทาน แต่ว่าธรรมทาน 100 ครั้ง อานิสงส์ไม่เท่าอภัยทาน ผมพูดได้เลยว่าตอนนี้เราติดอยู่ 2 ระดับบนของระดับทาน ธรรมทาน-เรายังไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลดึงกันเข้ามา และอภัยทาน-เรายังไม่สามารถที่จะให้อภัยปล่อยวางในความผิดของผู้อื่นได้ มันก็เลยทำให้สังคมเราเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ไม่มีใครเลวร้อยเปอร์เซ็นต์หรือดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ในดีก็มีไม่ดี ในไม่ดีก็มีดี ในตัวเราก็มีตัวเขา ในตัวเขาก็มีตัวเรา ต้องเห็นตรงนั้น เห็นแล้วมันจะสามารถสื่อสารพูดคุยปรองดองสามัคคีกันได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่ายอมรับในความไม่ดีตรงนั้นให้เข้ามาอยู่ในตัวเรา แต่เราต้องยอมรับหาจุดร่วมให้ได้ก่อนในความดีตรงนั้น”
“กระบวนการของการช่วยน้ำท่วม ผมจะไม่ช่วยในลักษณะเอาอาหารไปแจก แต่ภารกิจหลักคือต้องเปลี่ยนผู้ประสบภัยให้เป็นผู้กอบกู้วิกฤติให้ได้ เราต้องเปลี่ยน ต้องบอกว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิทธิเสรีภาพในการเลือก มนุษย์มี freedom of choice ขณะที่สัตว์จะทำตามสัญชาตญาณ แต่มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพในการเลือก ว่าในเหตุการณ์แบบนี้คุณเลือกที่จะเป็นอะไร คุณเลือกที่จะเป็นผู้ประสบภัย รอรับความช่วยเหลือ หรือคุณจะลุกขึ้นมาดูแลตัวเองและให้ความช่วยเหลือผู้อื่น …ในเมื่อมีพื้นที่แห้งแล้ว อยู่ในศูนย์พักพิงฯ แล้ว ถามต่อว่าป่วยหรือเปล่า พิการไหม บาดเจ็บไหม บาดเจ็บทางไหน ทางกายหรือเปล่า-ไม่เลย ที่เราเห็นคือบาดเจ็บทางใจ ปล่อยใจให้บาดเจ็บ ปล่อยใจให้พิการเป็นผู้ประสบภัย ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเรากำลังทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ลดลง”
“คนไทยส่วนใหญ่ใจบุญเพราะเน้นเรื่องการทำทาน มาจากอิทธิพลทางพุทธศาสนา เราเน้นเรื่องการให้ทานมาก ทำบุญตักบาตรหรือว่าบริจาคทาน แต่มันคนละเรื่องกันกับความสามัคคีปรองดอง ทานขั้นที่สูงที่สุดคือเรื่องของอภัยทาน เรายังไม่สามารถที่จะให้อภัยปล่อยวางในความผิดของผู้อื่นได้ มันก็เลยทำให้สังคมเราเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ไม่มีใครเลวร้อยเปอร์เซ็นต์หรือดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ในดีก็มีไม่ดี ในไม่ดีก็มีดี ในตัวเรามีตัวเขา ในตัวเขาก็มีตัวเรา ต้องเห็นตรงนั้น เห็นแล้วมันจะสามารถสื่อสารพูดคุยปรองดองสามัคคีกันได้ มันไม่ได้หมายความว่ายอมรับในความไม่ดีตรงนั้นให้เข้ามาอยู่ในตัวเรา แต่เราต้องยอมรับหาจุดร่วมให้ได้ก่อนในความดีตรงนั้น”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์