วัยรุ่นไทย ปลุกพลังธรรมะสร้าง ‘น่านนครโมเดล’
ยุคนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางสังคมและเทคโนโลยีเป็นหนึ่งปัจจัยชักจูงให้วัยรุ่นไทยหลงใหลและฟุ้งเฟ้อกับการใช้ชีวิตติดเทรนด์จนตกอยู่ในวังวนของโลกวัตถุนิยมโดยไม่รู้ตัว แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีวัยรุ่นอีกกลุ่มที่คิดสวนกระแส หันมาใช้ธรรมะเป็นเทรนด์พลิกชีวิต สร้างความหวังใหม่ให้สังคม
เยาวชนกลุ่มนี้เป็นเพียงเด็กนักเรียนม.ต้น โรงเรียนน่านนคร ที่กล้าลุกขึ้นมาเป็นผู้นำเปลี่ยนกระแสสังคมให้เป็นกระแสแห่งความดี ด้วยการจัดโครงการ "ธรรมะพาสนุก ปลุกพลังวัยใส" ดึงเด็กและเยาวชนในจังหวัดน่านเข้าวัดปฎิบัติธรรมทุกวันธรรมสวนะ ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 4 ปี จนประสบความสำเร็จ สร้างกระแส "เทรนด์ธรรม" ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในชุมชนได้จริงราวกับกลายเป็นคนใหม่ เรียกได้ว่าเป็นโมเดลแห่งน่านนครอย่างแท้จริง
"ธรรมะพาสนุก ปลุกพลังวัยใส" เป็น 1 ใน 28 โครงการจิตอาสาภายใต้โครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย Gen A : Active Citizen "รวมพลคนรุ่นใหม่หัวใจอาสา" ซึ่งเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิธรรมดี และองค์กรภาคีเครือข่าย อาทิ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เพื่อเฟ้นหาโครงการจิตอาสาจากเยาวชนทั่วประเทศที่จะมาร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้ดีขึ้น
น้องฟ๊อด หรือ เด็กชายเชาว์วัฒน์ ปิงยศ นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนน่านนคร เยาวชนรุ่นบุกเบิกจนตอนนี้ ผันตัวมาเป็นแกนนำเชิญชวนเยาวชนคนอื่นๆ ให้เข้าร่วมโครงการ เล่าถึงที่มาของการเข้าร่วมโครงการนี้ว่า "เริ่มจากได้ยินประกาศในชุมชนว่าต้องการเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าไปร่วมทำกิจกรรมทุกวันพระ ตอนนั้นก็คิดว่าไม่น่าจะสนุก แต่ก็อยากลองเข้าไปร่วมกิจกรรมดู พอเข้าไปแล้วก็ผิดคาด เพราะการเข้าวัดครั้งนั้นสนุกมากๆ มีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำ นอกเหนือจากการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ยังมีวิทยากร และปราชญ์ชุมชนมาให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทษภัยของยาเสพติด ธรรมะในชีวิตประจำวัน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงเรื่องของการมีจิตอาสาโดยจะสลับสับเปลี่ยนกันไปแต่ละครั้งที่จัดกิจกรรม นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมพาเยาวชนในโครงการไปเรียนรู้นอกสถานที่ เช่น พาไปศูนย์ปฏิบัติธรรม นั่งรถรางเรียนรู้ถิ่นแผ่นดินเกิดภายในจังหวัดน่าน เมื่อเห็นว่าการไปวัดไม่ได้น่าเบื่อ ได้เจอเพื่อนใหม่ แถมยังสนุกได้ความรู้ ก็เลยหันมาร่วมโครงการอย่างจริงจัง"
"จากวันแรกจนถึงวันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก การเข้าวัดสอนให้ผมมีสมาธิ มีจิตสาธารณะ รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น จากที่เมื่อก่อนผมไม่เคยช่วยงานบ้านเลย สนใจแต่เรื่องของตัวเอง แต่หลังจากที่ได้เข้าวัดแล้ว เมื่อผมทำการบ้านเสร็จ ผมก็จะช่วยแม่ทำงานบ้านเท่าที่เราพอจะทำได้ ผมรู้สึกได้ว่าการเข้าวัดนอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบ มีสติ สมาธิแล้ว ยังช่วยขัดเกลาให้เราเป็นคนดี ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ หล่อหลอมไปเรื่อยๆ ช่วยให้เราทำความดี ทำสิ่งดีๆ ได้โดยไม่รู้สึกฝืนใจตัวเอง และทำด้วยความเต็มใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาแม่บอกให้ทำงานบ้านจะรู้สึกไม่ชอบ ไม่อยากทำ แต่ตอนนี้เหมือนเรารู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี มากขึ้น ไปช่วยงานโดยที่ไม่ต้องให้แม่บอก เพราะสำนึกแล้วว่าสิ่งนี้คือหน้าที่ของลูกนะ เราต้องทำ และผมเชื่อว่าถ้าเยาวชน หรือทุกคนในสังคมหันมาเข้าวัด และทำแต่ความดี สังคมเราก็จะมีแต่สิ่งดีๆ และมีความสุขกันมากขึ้นครับ"
ด้านที่ปรึกษาโครงการ อาจารย์สวาท นิติอภิรักษ์ ข้าราชการครูบำนาญ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโครงการ พูดถึงจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ว่าได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลา 4 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2554 แต่เดิมโครงการนี้มีชื่อว่า "โครงการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่" เนื่องจากชุมชนละแวกนี้เวลาผู้ใหญ่เลิกจากการทำงาน หรือมีงานเทศกาลต่างๆ มักดื่มเหล้ากันเป็นปกติ แต่ในเด็กปัญหานี้ยังไม่เกิดขึ้น เราจึงอยากป้องกันไว้ก่อน จึงเกิดความคิดว่าอยากเห็นเด็กและเยาวชนในชุมชนนาปัง สบแก่น หรือชุนชนบ้านใกล้เรือนเคียงในจังหวัดน่านมาร่วมกิจกรรมปฏิบัติธรรมที่วัดทุกวันพระ
ความพิเศษของโครงการนี้คือนอกจากกิจกรรมปฏิบัติธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ และยังเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เพิ่มเติม ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมะกับการใช้ชีวิตประจำวัน และเรื่องของยาเสพติด ปัญหาเหล้า บุหรี่ รวมถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กเรียนดีในวันมาฆบูชาเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการดื่มสุรา ของมึนเมาในเด็กและเยาวชน รวมถึงการให้เด็กนำสิ่งที่ได้รับจากการเข้าวัด โดยเฉพาะเรื่องศีล 5 ที่เราเน้นมาก ไปสื่อสารกับพ่อแม่หรือคนในครอบครัว ทำให้ผู้ใหญ่เกิดความละอายใจโดยให้เด็กเป็นตัวขับเคลื่อน
ที่ผ่านมาพบว่าสถิติการดื่มสุราในชุมชนนาปัง สบแก่น ลดลงต่อเนื่อง และเด็กที่เข้ามาร่วมโครงการก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปีแรกที่มีเพียง 20 คนเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีเด็กในโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 89 คนแล้ว และคิดว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเด็กในโครงการก็จะชักชวนเพื่อนๆ ต่อๆ กันไปไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน หรือเพื่อนบ้านให้มาเข้ามาร่วมด้วย เด็กทุกคนที่มาจะรู้สึกสนุกและกลับเข้ามาร่วมโครงการอย่างถาวร เพราะโครงการนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การปฏิบัติธรรมอย่างเดียว แต่ยังเน้นให้เด็กเป็นนักกิจกรรมซึ่งถือว่าเป็นการเสริมสร้างความเป็นผู้นำให้กับเด็กอีกด้วย
"ทุกวันนี้ที่เราสร้างวัด สร้างวิหาร เราสร้างกันได้ แต่ถ้าเราไม่คิดที่จะสร้างคนควบคู่กันไปด้วยมันก็ไม่มีความหมายอะไร สิ่งที่เราสร้างใครจะมาดูแล ผมจึงอยากเน้นการสร้างเด็กและเยาวชนควบคู่กันไป หากคนรุ่นเก่าตายไปก็ยังสบายใจว่ายังมีเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะมาสานต่อศาสนา และวัฒนธรรมของเราไปจนชั่วลูกชั่วหลาน ไม่มีวันล่มสลายไปอย่างแน่นอน" อาจารย์สวาทกล่าวทิ้งท้าย
ตลอดระยะเวลา 4 ปีของโครงการธรรมะพาสนุก ปลุกพลังวัยใส ได้แสดงพลังให้เห็นแล้วว่า "เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า" ถ้าสังคมและชุมชนทุกฝ่ายให้ความใส่ใจกับเด็กและเยาวชน ด้วยการปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ โดยใช้ศาสนาเป็นตัวช่วย และให้ความร่วมมือตั้งใจปฎิบัติอย่างจริงจัง ขยายเครือข่ายออกไปในวงกว้าง อนาคตของชาติเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดี สามารถเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นสังคมสงบสุขได้อย่างแน่นอน
สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ "ธรรมะพาสนุก ปลุกพลังวัยใส" สามารถติดตามความคืบหน้าการทำกิจกรรมของน้องๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/GENA4NK หรือสามารถร่วมปฏิบัติธรรมกับน้องๆ ได้ทุกวันพระ ณ วัดนาปัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน
ที่มา : โครงการธรรมะพาสนุก ปลุกพลังวัยใส
ขอบคุณภาพประกอบจากเฟสบุ๊คโครงการธรรมะพาสนุก ปลุกพลังวัยใส