วอนสังคมเห็นใจสารพัดปัญหารุมรับจ๊อบขายกาม

สถิติหญิงบริการพุ่ง มีไม่น้อยกว่า 1 แสนคนต่อคืน

 

วอนสังคมเห็นใจสารพัดปัญหารุมรับจ๊อบขายกาม          “เอ็มพาวเวอร์” เผยคืนหนึ่งมีหญิงบริการไม่น้อยกว่า 1 แสนคน จากปัญหาสังคมกลายเป็นวิถีชีวิต อัดรัฐต้นเหตุส่งเสริมธุรกิจบันเทิง วอนเข้าไปช่วยเหลือตั้งกองทุนคนทำงานบริการ อาจารย์จุฬาฯ ชี้ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มขึ้น 30% ทำ นศ.ไซด์ไลน์ จี้รัฐออกเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา-ส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม ด้านเซ็กส์เวิร์กเกอร์วอนสังคมเห็นใจ ภาวะกดดัน รายได้น้อย แต่รายจ่ายกลับเพิ่ม

 

          ตามที่ “คม ชัด ลึก” ได้นำเสนอปัญหาเศรษฐกิจและสังคมทำให้ข้าราชการ หญิงทำงานประจำ และนักศึกษาสาวหันไปทำงานหารายได้เสริมด้วยการเป็นสาวไซด์ไลน์ตามอาบ อบ นวด ล่าสุดเลขามูลนิธิส่งเสริมโอกาสผู้หญิง (เอ็มพาวเวอร์) ระบุว่าสถิติหญิงบริการตามสถานบันเทิงมีไม่น้อยกว่า 1 แสนคนต่อคืน จากปัญหาสังคมกลายเป็นวิถีชีวิต จากการส่งเสริมของภาครัฐทางอ้อม

 

          นางจันทวิภา อภิสุข เลขาธิการมูลนิธิส่งเสริมโอกาสผู้หญิง (เอ็มพาวเวอร์) กล่าวว่า ปัจจุบันสถิติผู้หญิงที่อยู่ในวงจรธุรกิจบันเทิงแต่ละคืนมีไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่หาลำไพ่พิเศษช่วงกลางคืนมากกว่าครึ่ง และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจากธุรกิจนี้เติบโต คนเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหญิงสาวที่เข้าไปทำงานไซด์ไลน์ไม่ใช่ปัญหาสังคมอีกต่อไป แต่กลายเป็นวิถีชีวิตปกติไปแล้ว เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา จะเห็นว่านโยบายรัฐให้การสนับสนุนธุรกิจประเภทสถานบันเทิงอย่างเห็นได้ชัด

 

          “ลองมองดูแล้วกันเมื่อก่อนคนที่ทำอาบ อบ นวด มีเงินเท่าไร บางรายเริ่มจากหลักล้านบาทถึงทุกวันนี้มีเป็น 100 ล้านขึ้นไป ธุรกิจนี้เติบโตเร็วมาก แล้วคนที่เข้ามาทำธุรกิจนี้ลองย้อนกลับไปดูซิว่า เป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะคนธรรมดาทำไม่ได้หรอก ดังนั้นดิฉันจึงไม่เห็นด้วยหากบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีทำให้ผู้หญิงต้องตัดสินใจเข้าสู่วงจรนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกัน แม้เศรษฐกิจจะดีจะโตแค่ไหน จำนวนผู้หญิงที่มีงานประจำแล้วก็เข้ามาสู่อาชีพนี้อยู่ดี” นางจันทวิภากล่าว

 

          เลขาธิการมูลนิธิส่งเสริมโอกาสผู้หญิงกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ข้าราชการหญิงจำนวนหนึ่งหันมาหารายได้พิเศษตามสถานบริการอาบ อบ นวด เนื่องมาจากเงินเดือนน้อย ไม่พอใช้จ่าย ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่านมลูก ฯลฯ ประกอบกับอาบ อบ นวด และกลุ่มนักเที่ยวได้ปรับเปลี่ยนให้หรูหราหรือมีระดับมากขึ้น ให้ค่าตอบแทนมากขึ้นด้วย หลายแห่งทำเป็นรูปแบบบริษัท มีเครื่องแบบยูนิฟอร์ม มีบัตรลงเวลาเข้าออก ดังนั้นพนักงานก็ต้องมีความรู้ หน้าตาดี ไม่เหมือน 20 ปีก่อนที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กต่างจังหวัดไม่รู้หนังสือ นอกจากนี้กลุ่มคนมาเที่ยวก็เป็นทั้งฝรั่งและคนไทยที่มีเงินมีความรู้ ไม่ได้พกปืนหรือเป็นกลุ่มอาชญากรเหมือนเดิม หลายคนมาเที่ยวเพียงอยากหาเพื่อนนั่งคุย นั่งกินข้าว หรือไปดูหนัง ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน

 

          “มีข้าราชการมาทำงานพาร์ทไทม์ในสถานบริการตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่จากสภาพทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่เงินเดือนข้าราชการนิดเดียว และฐานะของผู้หญิงที่ทำงานบริการก็เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว ถือเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริมที่ไม่ได้ทำร้ายใคร เป็นการให้ความสุข เหมือนผู้หญิงทั่วไป ลูกค้าที่มาเที่ยวก็มีแขกประจำด้วย เหมือนพนักงานในบริษัทเอกชน เพียงแต่ลักษณะงานไม่เหมือนกัน รัฐบาลควรเข้าไปช่วยเหลือเหมือนคนทำงานกลุ่มอื่น เช่น ควรก่อตั้งกองทุนเพื่อคนทำงานบริการ ขนาดนักท่องเที่ยวทำของหาย ยังมีกองทุนช่วยเหลือเลย แต่คนทำงานกลุ่มนี้กลับถูกละเลย โดยเฉพาะเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ เป็นโรคมะเร็ง ทุนการศึกษาลูก ฯลฯ” นางจันทวิภากล่าว

 

          ด้าน รศ.สมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ในส่วนของนิสิต นักศึกษาไซด์ไลน์ว่า  สังคมทุกวันนี้มีส่วนก่อให้เกิดอาชญากรรม เช่น การปล้นทอง ปล้นข้าว ขโมยนอตเสาไฟฟ้า เพราะเป็นช่องทางให้คนอยู่รอดในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เช่นเดียวกับสังคมในอุดมศึกษา มีค่าใช้จ่าย อย่างค่าเทอม ค่าบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เกี่ยวกับการศึกษาเพิ่มขึ้นถึง 30% ท่ามกลางสภาพที่ส่วนใหญ่ยังมีรายรับเท่าเดิม อาจมีส่วนทำให้นักศึกษาออกมาทำงานไซด์ไลน์เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับนิสิต นักศึกษา มักออกมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมากขึ้นเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งย่อมมีเรื่องเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งทำให้ตัดสินใจในการเข้าสู่วงจรการทำงานไซด์ไลน์ง่ายขึ้น

 

          รศ.สมพงษ์กล่าวว่า นักศึกษาที่ทำงานไซด์ไลน์มีค่านิยมที่ว่าปกติก็มีเพศสัมพันธ์กับแฟนอยู่แล้ว หากมีใครอีกสัก 1-2 คนเข้ามาช่วยให้เขาได้มีเงินจับจ่ายใช้สอยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขณะเดียวกัน นักศึกษากลุ่มนี้มีรสนิยมชอบของแบรนด์เนม บางคนต้องการล่าแต้ม กลายเป็นค่านิยมที่โก้เก๋ แถมเชื่อมโยงกับความต้องการที่มีมากขึ้นจากกลุ่มนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ตำรวจ นักธุรกิจ ซึ่งช่วงนี้มีการเลือกตั้งทำให้พวกเขามีรายได้ดี ย่อมมีความต้องการสาวไซด์ไลน์ หมายความว่าตลาดกลุ่มนักเที่ยวมันขยายตัว ส่วนกลุ่มสาวที่เข้าสู่วงจรไซด์ไลน์ก็มองว่าไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย

 

          ทั้งนี้ รศ.สมพงษ์เคยสัมภาษณ์นักศึกษาไซด์ไลน์จนเกิดมุมมองว่า การที่ผู้หญิงสักคนทำงานเป็นสาวไซด์ไลน์มิได้มีปัญหาจากเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น เพราะนักศึกษาบางรายผู้ปกครองให้ค่าใช้จ่ายเดือนละ 8,000 บาท หากมีการวางแผนการใช้จ่ายดีๆ ก็พอใช้ แต่ยังติดค่านิยมความฟุ้งเฟ้อ อยากมีชีวิตที่สุขสบาย มีคอนโดมิเนียม มีรถยนต์ มีเงินเดือนเดือนละ 1 หมื่นบาท แถมจ่ายค่าเทอมให้อีกต่างหาก ซึ่งกลุ่มนักศึกษากลุ่มนี้มองการณ์ไกลถึงเรื่องช่องทางอาชีพในอนาคต เมื่อจบการศึกษาแล้วอาจใช้ผู้ชายที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนเป็นบันไดไปสู่อาชีพที่ต้องการ ผู้หญิงกลุ่มนี้เคยบอกว่าหากเจอผู้ชายดีๆ ก็จะยอมยุติอาชีพนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงกลุ่มนี้เมื่อจบการศึกษามีงานทำแล้วก็อาจจะยังทำอาชีพนี้อยู่ เพราะหารายได้ไม่พอเพียงต่อการดำเนินชีวิต เงินขาดมือ จะหวนมาทำงานลักษณะนี้อีกเป็นครั้งคราว

 

          “ทางออกของสถาบันอุดมศึกษาในเรื่องนี้ หน่วยงานด้านเงินกู้ยืมเงินทุนเพื่อการศึกษาควรอนุมัติเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาให้เร็วกว่านี้ ควรมีหนังสือออกมาสอนหรือตีแผ่เรื่องนี้ว่ากลุ่มเสี่ยงเป็นคณะไหน มหาวิทยาลัยอะไร เป็นการให้ข้อมูลเด็ก และสอนให้เด็กทุ่มเทกับการเรียน เพื่อให้ได้เกรดดีๆ มีโอกาสในการทำงาน มีครอบครัวที่ดี เน้นการสอนเรื่องสิทธิสตรีและโอกาสทางการศึกษา ที่ผ่านมาระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาไม่เคยสอนเรื่องนี้ ที่สำคัญพ่อแม่ต้องดูแลลูกเรื่องหอพัก รู้จักทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และตัวนักศึกษาเองต้องเลิกค่านิยมที่ฟุ้งเฟ้อ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อสร้างจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะหากผู้ที่เรียนถึงระดับอุดมศึกษาแต่ยังมีความคิดที่มักง่ายอยากได้เงินก็ไปขายตัว แสดงว่ายังคิดไม่เป็น เพราะในสังคมยังมีคนที่แย่กว่า ทำงานแบบปากกัดตีนถีบ หากนักศึกษาได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เขาคิดเป็น” รศ.สมพงษ์กล่าว

 

          ขณะที่ น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้มีส่วนทำให้ผู้หญิงอาชีพต่างๆ หันเหชีวิตเข้าสู่วงจรธุรกิจสาวขายบริการมากขึ้น เพราะผู้หญิงต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ทั้งในครอบครัวใหม่และครอบครัวเดิม ขณะที่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น แต่ข้าวของแพงขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำที่ได้รับแทบไม่พอเพียงต่อการเลี้ยงดูครอบครัว ขณะเดียวกันแหล่งการจ้างงานขนาดใหญ่ หรือการจ้างงานกลับลดลง ประกอบกับสหภาพแรงงานไม่มีความเข้มแข็ง แตกต่างจากต่างประเทศ สหภาพแรงงานทำให้แรงงานได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ทำงานน้อยลง ส่วนประเทศไทยต้องทำงานมากขึ้นถึงจะได้ค่าแรงเพิ่ม เรื่องนี้ต้องสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะดำเนินการอย่างไรที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้หญิงทำงานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

 

          น.ส.เพ็ญ (นามสมมติ) หนึ่งในกลุ่มผู้หญิงที่ประกาศตนว่าทำงานเป็นหญิงบริการทางเพศ หรือเซ็กส์เวิร์กเกอร์ (sex worker) แสดงความเห็นว่า ผู้หญิงที่มีงานประจำกลางวันแล้วต้องมาทำงานพิเศษในสถานบริการกลางคืน ส่วนใหญ่จะปิดบังว่ากลางวันมีอาชีพประจำเป็นอะไร เพื่อนๆ ก็จะเคารพให้เกียรติโดยไม่ซักถามเรื่องส่วนตัว หากมีข้าราชการมาทำงานอาบ อบ นวดจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนต่างมีเหตุผลความจำเป็นในชีวิตที่ต้องหาเงิน โดยเฉพาะคนที่มีอาชีพรับข้าราชการแล้วจำเป็นต้องมาทำงานในอาบ อบ นวด ก็ยิ่งต้องมีความกดดันบางอย่างถึงมาทำอาชีพเสริมในเวลากลางคืน อยากให้สังคมมองและเงี่ยหูฟังเรื่องราวตลอดจนเหตุผลของพวกเธอด้วย

 

          ส่วนกลุ่มนักศึกษาที่มาทำงานพิเศษในสถานอาบ อบ นวดนั้น น.ส.เพ็ญกล่าวว่า สังคมมักประณามเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็นพวกใจแตก ฟุ้งเฟ้อ เช่น ต้องการเงินไปซื้อกระเป๋า เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือราคาแพง ฯลฯ โดยไม่ได้นึกคิดให้ลึกซึ้งว่ากลุ่มคนที่สร้างค่านิยมพวกนี้คือใคร และหากเด็กสาววัยรุ่นอยากได้โทรศัพท์มือถือแล้วดิ้นรนหาเงินไปซื้อนั้น กลุ่มที่ได้ประโยชน์แท้จริงก็คือบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของสินค้าไม่ใช่กลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

 

 

update 12-05-51

Shares:
QR Code :
QR Code