ลดพุงลดโรค นิทรรศการเพื่อคนเลิกอ้วน
ปัจจุบันคนยุคใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งหลายคนนอกจากจะหวังสร้างสุขภาพที่ดีแล้ว หนึ่งในเป้าหมายคือ "ลดน้ำหนัก" โดยเฉพาะสาวๆ ทั้งหลาย สอดคล้องกับแผนงานของ "สำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ" หรือ สสส.ที่พยายามผลักดันให้คนไทยตระหนักถึงอันตรายของความอ้วนที่เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมามากมาย
จากสถิติสัดส่วนของคนไทยที่มีภาวะอ้วนและอ้วนลงพุงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อย้อนดูข้อมูลของประเทศไทยในรอบ 18 ปี พบว่ามีคนอ้วนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ในกลุ่มเด็กที่มีอายุระหว่าง 6-12 ปี มีภาวะอ้วนถึงร้อยละ 12.6 และมีพฤติกรรมบริโภคน้ำตาลสูงถึง 10 ช้อนชาต่อวัน
รศ.จุมพล รอดคำดี ประธานคณะกรรมการบริหารแผน คณะที่ 5 สสส. ให้ข้อมูลว่า จากการสำรวจพบว่า คนไทยมีช่วงเวลาแน่นิ่งในแต่ละวันถึง 13 ชั่วโมง 15 นาที ขณะที่ช่วงเวลากระฉับกระเฉงมีเพียง 2 ชั่วโมง 19 นาทีเท่านั้น อีกทั้งพบว่าอัตราการออกกำลังกายของคนไทยเพิ่มขึ้นช้า โดยเฉพาะวัยเด็ก พบว่ามีกิจกรรมทางกายน้อยที่สุดและลดลงต่อเนื่อง ดังนั้น การลดภาวะอ้วนและน้ำหนักเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์และเป้าหมายสำคัญในการทำงานของ สสส.
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุน สสส.ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้คนไทยที่อายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคอ้วนติดอันดับ 1 ใน 5 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีคนอ้วนมากถึง 17 ล้านคน สสส.จึงได้จัดนิทรรศการ "ลดพุง ลดโรค" เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งนิทรรศการจัดเป็น 3 โซน คือ 1.Fat Check Station แนะนำ โรคอ้วนลงพุง พร้อมให้เช็กตัวเองด้วยวิธีง่ายๆ ด้วย การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และวัดรอบเอว เพื่อสำรวจ ตัวเองว่าอยู่ในภาวะอ้วนหรือไม่ 2.You are What You Eat สำรวจพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มีทัวร์อวัยวะว่าอาหารที่เรากินเข้าไปจะผ่านกระบวนการย่อยอย่างไรบ้าง 3.Fit Fight Fat แนะนำทางรอดจากโรคอ้วนลงพุงด้วยหลัก 3 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ พร้อมแนะนำการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเน้นลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก และผลไม้ และแนะนำรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม ภายในงานเปิดตัวนิทรรศการ มีผู้ที่ผ่านการลด น้ำหนักมาร่วมเผยแพร่ประสบการณ์และหลักการ ลดน้ำหนักที่ถูกต้อง
นางปาณิสรา อารยะสกุล หรือ โอปอล์ นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง เล่าถึงประสบการณ์ว่า เมื่อก่อนเป็นคนอ้วนมาก สูง 158 เซนติเมตร เคยหนักสูงสุดกว่า 70 กิโลกรัม
"ตอนนั้นคิดแต่ว่าที่ตัวเองอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ เพราะแม่ก็อ้วน น้องชายอีก 2 คนก็อ้วน จึงไม่คิดจะลดน้ำหนัก เพราะรู้สึกรับได้กับตัวเองในสภาพแบบนี้ จนเมื่อเข้าสู่วงการบันเทิงแล้วรู้สึกว่าความอ้วนที่เคยรับได้กำลังบั่นทอน สร้างปัญหาในอาชีพการงานที่ตัวเองรัก เพราะหาเสื้อผ้าที่พอดีตัวไม่ได้ อีกทั้งเวลานอนก็อึดอัด จึงเริ่มตั้งใจจะลดน้ำหนัก ในช่วงแรกของการลดน้ำหนักก็เหมือนหลายๆ คน ที่หันไปพึ่งยาลดน้ำหนัก ซึ่งน้ำหนักลดลงจริง แต่เคยเป็นลม หรือการอดอาหาร พอมีงานก็จะงดไม่กินแป้ง พอเสร็จงานก็พุ่งเข้าหาอาหารที่เป็นแป้งทันที ซึ่งน้ำหนักจะขึ้นๆ ลงๆ มาโดยตลอด
จนกระทั่งมาพบกับสามีซึ่งเป็นแพทย์ สามีได้แนะนำการกินอาหารที่ถูกต้องคือ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม ลดของทอด ใช้วิธีนึ่งหรือต้มแทน หันมากินข้าวกล้อง ดื่มน้ำเยอะๆ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่ง พอทำแล้วรู้สึกสัดส่วนเริ่มกระชับ เราก็เริ่มเสพติดการออกกำลังกาย และเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์"
โอปอล์บอกว่า ตอนนี้ น้ำหนัก 49 กิโลกรัม คงที่มา 3 ปีแล้ว แต่สิ่งที่ดีที่ตามมาอีกเรื่องคือ แม่และน้องชายเมื่อเห็นตัวอย่าง ก็เกิดแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก "พอพวกเขาเห็นเราลดน้ำหนักได้ เขาก็เกิดแรงบันดาลใจ เริ่มหันมาออกกำลังกาย ซึ่งน้องชายจากที่เคยหนัก 90-100 กิโลกรัม ก็ลดลงมาที่ประมาณ 70 กิโลกรัมแล้ว" โอปอล์กล่าว
ขณะที่ นายกฤดิพงศ์ บุณฑริก หรือเน็ต นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ที่เคยลดน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ใน 180 วัน เล่าว่า เคยน้ำหนักตัวมากสุดถึง 140 กิโลกรัม เมื่อไปตรวจร่างกาย พบว่าความดันโลหิตสูง ไขมันไม่ดีในร่างกายสูง น้ำตาลสูง กรดยูริกซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ก็สูง
"ทั้งๆ ที่ผมอายุแค่ 23 ปี แต่ค่าต่างๆ สูงหมด จึงเริ่มคิดจะปรับปรุงตัวเองด้วยการลดน้ำหนัก เริ่มต้นด้วยการควบคุมอาหาร เลี่ยงของหวาน มัน เค็ม กินอาหารต้มและนึ่ง แต่กินในปริมาณเท่าเดิมครบทั้ง 3 มื้อ ควบคู่กับการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน ซึ่งภายในเวลาประมาณ 6 เดือน สามารถลดน้ำหนักได้ 60 กิโลกรัม สิ่งสำคัญคือ ความสม่ำเสมอ หากต้องการลดน้ำหนัก ให้ได้ผล ต้องทำให้ถูกวิธีและสม่ำเสมอ ตอนนี้ผมไปตรวจร่างกาย พบว่าค่าต่างๆ ที่เคยสูงลดลงมาในระดับปกติ ไม่อ่อนเพลียง่าย เคยไปแข่งขันปั่นจักรยาน ขึ้นดอยสุเทพ เราก็สามารถทำได้ และชนะเลิศรองอันดับ 2" นายกฤดิพงศ์กล่าวทิ้งท้าย
นักโภชนาการอย่าง นายสง่า ดามาพงษ์ เลขานุการคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. แนะว่า หลายคนมักโทษว่าความอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ ซึ่งที่จริงแล้วความอ้วนเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ผิดๆ ถึง90% และเกิดจากกรรมพันธุ์และโรคประมาณ 10% เท่านั้น
"คนที่ลดน้ำหนักได้ ก็เหมือนคนที่เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ได้ เพราะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ซึ่งการลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือ ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกาย จะลดน้ำหนักได้ผล 90% ถ้าควบคุมอาหารอย่างเดียวได้ผล 9% ถ้าออกกำลังกายอย่างเดียวได้ผล 1% ที่สำคัญต้องปฏิบัติตาม 3 อ. คือ 1.อารมณ์ ต้องมีแรงบันดาลใจเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 2.อาหาร ต้องควบคุม กินตามวิถีชีวิต อย่าหักดิบ อย่ามัวแต่ทำตามกระแสที่เขานิยมทำกัน ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารคลีน หรือออกกำลังกายแบบ T25 ต้องดูว่าร่างกายไหวหรือไม่ และ 3.ออกกำลังกาย ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถ้าทำเพื่อสุขภาพต้องอย่างน้อย 30 นาที แต่ถ้าเพื่อ ลดน้ำหนักอย่างน้อย 1 ชั่วโมง" นายสง่ากล่าว
นิทรรศการ "ลดพุงลดโรค" เริ่มแล้วที่โซนนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น 2 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ผู้สนใจเข้าชมฟรีตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ทุกวันอังคาร- วันเสาร์ เวลา 10.00-17.00 น. สำหรับนิทรรศการสัญจร ในเขตกรุงเทพมหานครเริ่มเดือนกันยายนนี้ ส่วนต่างจังหวัดเริ่มเดือนพฤศจิกายน สอบถามรายละเอียดที่ exhibition.thc @thaihealth.or.th หรือ โทร.08-3098-18056
ขอเป็นกำลังใจให้คนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพื่อสุขภาพที่ดี ห่างไกลโรคภัย
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน