รักษา “ภูมิแพ้” ด้วยลูกประคบสมุนไพร
ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. จัดกิจกรรม “เอาชนะภูมิแพ้” พร้อมสอนการทำลูกประคบจากสมุนไพรไทย เพื่อต่อสู้กับอาการภูมิแพ้ และแก้อาการปวดเมื่อย ลดการอักเสบฟกช้ำ
เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มกราคม 2558 เวลา 13.00-15.00 น.ที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. มีการจัดกิจกรรม “เอาชนะภูมิแพ้ ครั้งที่ 2” พร้อมบรรยายการดูแลสุขภาพตามวิถีแพทย์แผนไทยโดย อาจารย์ชินริณี วีระวุฒิวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้การทำลูกประคบสมุนไพร ซึ่งเป็นวิธีการบำบัดรักษาตามแพทย์แผนไทยอีกด้วย
อาจารย์ชินริณี กล่าวว่า โรคภูมิแพ้เป็นหนึ่งในภาวะเรื้อรังที่พบมากที่สุดทั่วไทย โดยเริ่มเกิดขึ้นในระยะแรกตั้งแต่วัยทารก หรือเด็กเล็ก และบ่อยครั้งที่จะอยู่ไปจนตลอดชีวิต โดยโรคภูมิแพ้ยอดฮิตที่คนไทยเป็นมากที่สุด คือโรคภูมิแพ้อากาศ โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคภูมิแพ้อาหาร และโรคภูมิแพ้ยา
“คนเราเกิดมาในร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 เรียกว่า ธาตุเจ้าเรือนซึ่งเป็นธาตุประจำตัวประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหากขาดสมดุลร่างกายจะเจ็บป่วย ซึ่งการคืนสมดุลให้ธาตุทั้ง 4 นั้น หลักและวิธีการรักษาโรคของแพทย์แผนไทยประกอบด้วย 1.ปัจจัยที่ธรรมชาติกำหนด ได้แก่ ธาตุเจ้าเรือน ฤดูกาล สุริยะจักรวาล ความอนิจจัง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย 2.ปรับปรุงพฤติกรรมที่เป็นมูลเหตุเกิดโรค 3.การรักษาด้วยการใช้อาหารหรือยาสมุนไพร ปรับให้ธาตุสมดุล และ4.การรักษาด้วยการนวด ประคบสมุนไพร อบสมุนไพร”
อาจารย์ชินริณี กล่าวต่อว่า สำหรับตัวยาสมุนไพรที่ใช้ทำ “ลูกประคบตัว” ประกอบด้วย 1.ไพล แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ ฟกช้ำ 2.ขมิ้นชัน แก้โรคผิวหนัง ช่วยลดการอักเสบ 3.ผิวมะกรูด หรือใบมะกรูด มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน 4.ตะไคร้บ้าน แต่งกลิ่น 5.ใบมะขาม ช่วยทำความสะอาดผิวหนัง แก้ฟกบวม 6.ใบส้มป่อย แก้โรคผิวหนังช่วยบำรุงผิว ลดอาการคัน 7.ขมิ้นอ้อย รักษาอาการบวม ฟกช้ำ 8.ว่านเปราะหอม ช่วยขับพิษจากผิว ทำให้เลือดลมดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง 9.ว่านนางคำ ใช้ตำพอกแก้ฟกช้ำ และข้อเคล็ด 10.เกลือแกง ช่วยดูดความร้อน และพาตัวยาซึมผ่านทางผิวหนัง 11.การบูร แต่งกลิ่น แก้หวัด บำรุงหัวใจ และ 12.พิมเสน แต่งกลิ่น แก้พุพองผดผื่น บำรุงหัวใจ
ส่วนตัวยาสมุนไพรที่ใช้ทำ “ลูกประคบหัว” ประกอบด้วย 1.อัญชัน บำรุงเส้นผมให้ดกดำ 2.ว่านเปราะหอม ช่วยขับพิษจากผิว ทำให้เลือดลมดี 3.ผิวมะกรูด หรือใบมะกรูด แก้ลมวิงเวียน 4.งาดำ บำรุงเส้นผม ลดอาการเครียด 5.เกลือแกง ช่วยดูดความร้อน และพาตัวยาซึมผ่านทางผิวหนัง 6.การบูร แต่งกลิ่น แก้หวัด บำรุงหัวใจ และ 7.พิมเสน แต่งกลิ่น แก้พุพองผดผื่น บำรุงหัวใจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม กล่าวอีกว่า วิธีทำเริ่มจากการล้างสมุนไพรให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกพอแหลก จากนั้นใส่สมุนไพรที่เตรียมพร้อมเกลือ พิมพ์เสน การบูร คลุกให้เข้ากัน แล้วนำสมุนไพรที่ผสมไว้มาใส่ผ้าห่อเป็นลูก (ลูกละ 200 กรัม) รัดด้วยเชือกให้แน่น เมื่อมัดเชือกแล้ว ให้นำลูกประคบที่ได้ไปนึ่งไอน้ำให้ร้อนประมาณ10 – 15 นาที แล้วนำไปประคบบริเวณที่ต้องการ ส่วนขั้นตอนการประคบ อาจารย์ชินริณีบอกว่าให้จัดท่าผู้ป่วยให้เหมาะสมในท่านั่งหรือนอน นำลูกประคบที่นึ่งจนร้อนมาทดสอบความร้อน โดยแตะที่ท้องแขนหรือหลังมือก่อนนำไปประคบ เมื่อลูกประคบคลายความร้อน จึงเปลี่ยนลูกประคบอีกลูกหนึ่งแทน
ทั้งนี้ข้อควรระวังคือ ห้ามใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป แต่ให้ใช้ผ้าขนหนูรองบริเวณผิวหนังอ่อนๆ หรือบริเวณที่เป็นแผลมาก่อน ส่วนผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต เด็ก ผู้สูงอายุต้องระวัง เพราะการตอบสนองต่อความร้อนช้า และไม่ควรประคบเมื่อมีอาการอักเสบ หรือบวมใน 24 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้มีอาการบวมมากขึ้น” อาจารย์ชินริณี กล่าว
ด้าน คุณศิริพร รัตนวงศ์ไพบูลย์ อายุ 42 ปี พนักงานบริษัทเอกชน ผู้ร่วมกิจกรรมเล่าถึงกิจกรรมว่า ปกติมักจะมีอาการปวดหลัง เพราะนั่งทำงานนานๆ และมักจะหายาแก้ปวดมารับประทานเอง แต่หากกินยาสะสมนานๆ จะไม่ดีกับร่างกาย ดังนั้นจึงอยากเรียนรู้เรื่องสมุนไพร เพราะเป็นเหมือนธรรมชาติบำบัด ส่วนวิธีการทำลูกประคบสมุนไพรนั้นไม่ยาก สามารถนำกลับไปทำเองได้
เช่นเดียวกับ คุณรัตน์ อัศวดากร อายุ 53 ปี อาชีพแม่บ้านบอกว่า มีความสนใจการนวดแผนไทย เพราะมีอาการปวดเมื่อย ซึ่งความรู้ที่ได้รับในวันนี้จะนำไปปรับใช้กับตัวเองและจะบอกต่อเพื่อนหรือคนใกล้ชิด ให้ลองใช้ลูกประคบสมุนไพรรักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่
ขณะที่ คุณอร่ามศรี คุปตวินทุ อายุ 48 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัวบอกว่า ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นภูมิแพ้แต่มีญาติเป็นโรคนี้ จึงอยากจะนำความรู้ที่ได้ไปแนะนำ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้วิธีการประคบหัวและการประคบตัวที่ถูกต้อง และรู้ว่าธาตุต่างๆ ในร่างกายของมนุษย์ในแต่ละช่วงอายุเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ยังมีกิจกรรมดีๆ ฟรีอย่างต่อเนื่องในทุกๆ เดือน หากท่านใดสนใจสามารถติดตามตารางกิจกรรมได้ที่ http://www.thaihealthcenter.org หรือ https://www.facebook.com/Sookcenter
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข