ระวังโรคปอดบวม

โรคปอดปวม เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบทั่วโลกกว่าปีละ 2 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 1 คนในทุกๆ 20 วินาที ตอกย้ำความรุนแรงของโรคปอดบวม และกระตุ้นให้หาวิธีป้องกันภัยร้ายอย่างเป็นรูปธรรม

ระวังโรคปอดบวม

ศ.พญ.อุษา ทิสยากร นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว โรคปอดบวมก็ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งคร่าชีวิตเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลกถึงปีละ 2 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตของเด็กเล็ก 1 คนในทุกๆ 20 วินาที แม้ว่าองค์กรแพทย์ทั่วโลกจะให้ความสำคัญและหาแนวทางป้องกันโรคปอดบวมอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้วก็ตาม รวมทั้งโรคปอดบวมเป็นโรคที่สามารถป้องกันด้วยวัคซีนได้ส่วนหนึ่งในปัจจุบัน แต่อุบัติการณ์การเสียชีวิตยังคงสูงจนน่ากลัว

ดังนั้นองค์กรพันธมิตรวันปอดบวมโลก (world pneumonia day coalition) จึงร่วมรณรงค์ “วันปอดบวมโลก” (world pneumonia day) ขึ้นเป็นปีที่ 3 ซึ่งตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศรณรงค์ให้ความรู้ในการป้องกันโรคปอดบวมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเร่งลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตของเด็กเล็กจากโรคปอดบวมที่เกิดขึ้นทุกๆ ปีอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

พร้อมจัดทำเว็บไซต์ www.worldpneumoniaday.org เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้ และเฝ้าระวังอุบัติการณ์โรคปอดบวม โดยในแต่ละประเทศก็จะมีการรณรงค์ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป เช่น การเดินขบวนรณรงค์ การจัดการสัมมนาให้ความรู้ ตลอดจนการจัดนิทรรศการต่างๆ เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทย จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 พฤษภาคม 2554 พบผู้ป่วยโรคปอดบวมทั้งสิ้น 54,705 คน โดยพบผู้ป่วยเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มากที่สุดถึงร้อยละ 40 รองลงมาเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ร้อยละ 29 โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคปอดบวมทั้งหมด 325 คน

ซึ่งจะเห็นได้ว่าเพียงไม่กี่เดือนก็มีผู้เสียชีวิตมากถึงขนาดนี้แล้ว แล้วยิ่งในปัจจุบันเกิดมรสุมพัดผ่านประเทศไทยทำให้เกิดฝนตก ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รวมทั้งเกิดภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก สำหรับเด็กที่ไปเล่นน้ำหากเกิดการสำลักน้ำอาจทำให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอดได้ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ ได้มากขึ้น โดยหนึ่งในโรคที่มากับฝนและน้ำท่วมที่สำคัญ ได้แก่ โรคปอดบวม และโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ ซึ่งติดต่อกันได้ง่ายในสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันเยอะๆ รวมถึงสถานที่พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วม ก็อาจทำให้มีการแพร่ระบาดของโรคปอดบวมและโรคอื่นๆได้ง่ายขึ้น

แม้ว่าโรคปอดบวมจะเป็นโรคที่เด็กๆ เป็นได้บ่อย แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคปอดบวมมีความรุนแรงมากกว่าที่คิด ที่สำคัญที่สุดที่พ่อแม่ทุกคนพึงระลึกไว้เสมอคือ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบทุกคนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญของโรคปอดบวม

แม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีและแข็งแรงก็ตาม และเด็กเล็กจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นหลายเท่า หากมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กที่เป็นโรคหัวใจ เด็กที่ไม่มีม้าม และเด็กเล็กที่มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่า 1,500 กรัม ตลอดจนเด็กที่อยู่รวมตัวกันหนาแน่น เช่น เด็กในโรงเรียนอนุบาล และสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน ดังนั้นการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม ควบคู่ไปกับป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนต้องใส่ใจ

ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ที่ปรึกษาชมรมโรคระบบหายใจ และเวชบำบัดวิกฤตในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคปอดบวมเกิดได้จากเชื้อหลายชนิด เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียร่วมกัน แต่ที่พบบ่อยที่สุด คือเชื้อไวรัส แต่โรคจะหายได้จากการที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานมากำจัดเชื้อไวรัสได้เอง   รองลงมาคือเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยพบว่าโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัสพบมากที่สุด เพราะเชื้อนิวโมคอคคัสและแบคทีเรียอื่นๆ อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เพราะเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว อาศัยอยู่ในเยื่อบุโพรงจมูก ลำคอของคนเรา

เมื่อเยื่อบุดังกล่าวถูกทำลายจากการเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีน้ำมูกคั่งในโพรงจมูกลูกน้อยเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสที่เชื้อนิวโมคอคคัสก็จะหลุดเข้าสู่ร่างกายได้ตลอดเวลามีโอกาสก่อให้เกิดโรคปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ และไอพีดีได้ ซึ่งนอกจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสแล้ว พ่อแม่ยังต้องระวังเชื้อแบคทีเรียเอ็นทีเอชไอ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อรุนแรงในหูชั้นกลางด้วย

ที่สำคัญเชื้อนิวโมคอคคัสอาจจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ และก่อให้เกิดโรคติดเชื้อรุนแรงในอวัยวะนั้นๆ ได้ และทำลายระบบต่างๆ ที่สำคัญของร่างกายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เช่น โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ ซึ่งเมื่อเนื้อเยื่อปอดถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ หากรุนแรงจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลว และทำให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้เชื้อดังกล่าวยังสามารถก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือฝีในสมอง โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (หูน้ำหนวก) ได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรสังเกตสัญญาณความผิดปกติของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด เมื่อลูกน้อยไม่สบาย

อาการแสดงของโรคปอดบวมในเด็ก เช่น มีไข้ ไอ หายใจถี่และหอบ หายใจลำบากหรือมีเสียงดังวี๊ดๆ หรือหายใจแรงจนซี่โครงบุ๋ม ถ้าพบว่าเด็กมีอาการ ไข้ ไอบ่อย หรือหายใจเร็ว ซึ่งพ่อแม่สามารถดูได้จากอัตราการหายใจ ซึ่งในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบ หายใจเร็วมากกว่า 50 ครั้งต่อนาที และในเด็กเล็กที่มากกว่า 1 ขวบ หายใจเร็วมากกว่า 40 ครั้งต่อนาที ให้สงสัยว่า เด็กอาจเป็นโรคปอดอักเสบ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจยืนยันและการรักษาที่ถูกต้อง หากพ่อแม่นิ่งนอนใจ ปล่อยทิ้งไว้นานเด็กอาจมีอาการหอบ หายใจลำบาก มีอาการรุนแรงมากขึ้นและอาจไม่ทันการ

ดังนั้น การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการเลี้ยงดูเด็กให้มีสุขภาพแข็งแรง ให้ทารกดูดนมแม่ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย การทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และสอนให้เด็กรู้จักรักษาสุขอนามัยเป็นประจำ โดยเฉพาะการล้างมืออย่างถูกวิธีเป็นประจำจะช่วยลดการติดเชื้อที่สัมผัสติดมากับมือได้ รวมทั้งการใส่หน้ากากอนามัย

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ชุมชนและสถานที่แออัดเป็นเวลานานๆ หมั่นทำความสะอาดโพรงจมูกลูกน้อย อย่าให้มีน้ำมูกคั่งเป็นเวลานาน ที่สำคัญอาจปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนไอพีดีพลัส ปอด-หูอักเสบ ที่นอกจากจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากโรคปอดบวม ปอดอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และโรคติดเชื้อในกระแสเลือดจากเชื้อนิวโมคอคคัสแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคหูชั้นกลางอักเสบที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัสและเชื้อเอ็นทีเอชไอได้อีกด้วย ซึ่งสำหรับในประเทศไทยวัคซีนไอพีดี ยังเป็นวัคซีนทางเลือก โดยพ่อแม่เด็กต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าเอง

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Shares:
QR Code :
QR Code