ยาใจในเรือนจำ

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี


ภาพประกอบจาก สสส.


ยาใจในเรือนจำ thaihealth


นอกจากการผ่านแต่ละวัน ที่ยาวนานกว่าโลกภายนอก การกอบกู้ตัวเองกลับคืนดูจะเป็นสิ่งที่ยากยิ่งหลังกำแพงสูง มองเผินๆ มันก็ไม่ต่างจากโรงเรียนประจำสักเท่าไหร่นักหรอก แยกหญิง-ชายชัดเจน ใช้ชีวิตประจำวันตามตารางเวลาบนกระดาน หรือกระทั่งชุดยูนิฟอร์มที่เหมือนกันไปหมด ต่างก็ตรง สัดส่วน และผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ถูกแบ่งออกตามลำดับชั้นของ "โทษ" ที่ติดตัว โดยมีรั้วลวดหนาม และกำแพงเรือนจำกั้นกลางอาณาเขตเอาไว้


กลายเป็นภาพจำที่ฝังหัวสังคมไทยไปแล้วเวลาพูดถึง "เรือนจำ" หรือ "คุก"


ขณะที่ "ผู้ต้องขัง" หรือ "นักโทษ" ก็ต่างติดกลิ่นอายของความร้ายกาจ และดูน่ากลัวตามไปด้วย ไม่ใช่เรื่องแปลก หากเราย้อนมองถึงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเรือนจำที่ปรากฏผ่านสื่อในห้วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะความรุนแรงที่กลายเป็นพาดหัวข่าวหลักในการนำเสนอ หรือปริมาณของนักโทษที่กำลัง "ล้นคุก" อยู่ในขณะนี้ เมื่อเทียบเคียงกับสถิติผู้ต้องขังจากกรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 มีผู้ต้องขังทั้งสิ้น 378,673 คน ขณะที่เรือนจำที่สามารถรองรับผู้ต้องขังได้เพียง 112,348 คน. จากเรือนจำ 143 แห่งทั่วประเทศ


ตัวเลขดังกล่าวทำให้จนถึงวันนี้ ประเทศไทยก็ยังมีผู้ต้องขังสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก อันดับ 3 ของเอเชีย (เป็นรองแค่ จีน กับ อินเดีย) และครองที่ 1 ของอาเซียน (จากการเก็บข้อมูลของ prisonstudies.org) ไปโดยปริยาย


จากข้อกำหนดกรุงเทพที่ริเริ่มจากวิสัยทัศน์ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งทรงเล็งเห็นในประเด็นนักโทษหญิง โดยเฉพาะกลุ่มที่ตั้งครรภ์ และมีลูกเล็ก ๆ นำมาสู่โมเดลการจัดการเพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับผู้ต้องขังหญิงที่มีอยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ 49,675 ราย


ยาใจในเรือนจำ thaihealth


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลัง ประเด็นเรื่องของการ "สร้างโอกาส และส่งเสริมการกลับสู่สังคม" ถูกพูดถึง และเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในหลายพื้นที่ ที่ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย เคยอธิบายถึงการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรือนจำ และผู้กระทำผิด ต้องมองทั้งประเด็น ภายในเรือนจำ (Inside Prison) ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ และวางเส้นทางชีวิตผู้ต้องขัง มองเรื่องที่ กว้างไปกว่าเรือนจำ (Beyond Prison) หรือชีวิตนอกเรือนจำของผู้ต้องขัง ทำอย่างไรให้เขาได้เริ่มชีวิตใหม่อย่างภาคภูมิใจและได้รับการยอมรับจากสังคม อีกทั้งประเด็น นอกเหนือไปจากเรื่องเรือนจำ (Beside Prison) ทั้งเรื่องนโยบาย และการนำมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่การจองจำมาใช้ทดแทน


โจทย์สำคัญอีกมุมหนึ่งของเรื่องนี้จึงอยู่ที่การทลายกรอบคิด และภาพจำเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็น "คนนอก" อย่าง สื่อมวลชน หรือประชาชนทั่วไป กับ "คนใน" อย่างบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม หรือเจ้าหน้าที่ในเรือนจำเอง


"เพียงแค่เรามีวิธีคิดที่มีความเป็นมนุษย์ขึ้นเท่านั้นเอง" รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์ นักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับผู้ต้องขังหญิงมาตลอดหลายปี มองถึงหลักคิดพื้นฐานที่จะสร้างเรือนจำในนิยามใหม่ที่จำเป็นต่อการสร้างคุณค่าในตัวเองที่ถูกลบหายไปหลังจากที่พวกเธอต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไร้อิสรภาพใบนี้


รศ.ดร.นภาพร อธิบายถึง หลักคิดเกี่ยวกับบทลงโทษว่า การสูญเสียอิสรภาพสำหรับคนคนหนึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เมื่อคนๆ นั้นถูกตัดสินว่ากระทำผิด สิ่งที่ต้องคิดต่อมาก็คือกระบวนการฟื้นฟูเพื่อให้พวกเขากลับไปเป็นบุคลากรส่วนหนึ่งของสังคมได้เหมือนเดิม ในขณะที่ปัจจัยที่เกิดขึ้นกับเหล่าผู้ต้องขังนั้นได้กลายเป็น "ตราประทับ" ที่ไม่มีวันถูกลบออกไปจากชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย


"ต้องไม่ลืมนะคะว่า นักโทษที่อยู่ในคุกส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว นั่นเท่ากับว่าเราเสียทรัพยากรบุคคลที่จะขับเคลื่อนประเทศไปตั้งเท่าไหร่" นักวิชาการด้านผู้ต้องขังคนเดิมย้ำ


โครงการเรือนจำสุขภาวะ โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ได้ขับเคลื่อนจนสร้างเรือนจำต้นแบบ "อุบลราชธานี-อุดรธานี-ราชบุรี" เพื่อใช้ "พลังเชิงบวก" โดยส่งเสริมกิจกรรมตามความถนัด-สมัครใจ ปรับให้เรือนจำเอื้อต่อการมีสุขภาวะกายใจ-ดี และทำให้ต่างจากสังคมภายนอกน้อยที่สุด เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการดังกล่าว


ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ ยอมรับถึงความพยายามขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้ให้ไปถึงระดับนโยบาย ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ และภาพของผู้ต้องขังในทุกๆ มิติ ซึ่งจะนำไปสู่การลดทอนการกลับเข้ามาสู่เรือนจำอีกครั้งได้อย่างชัดเจน


ผศ.ธีรวัลย์ วรรธโนทัย หัวหน้าโครงการเรือนจำสุขภาวะ เล่าถึงผลสัมฤทธิ์ในการนำกิจกรรมต่างๆ เข้าไปสู่ ผู้ต้องขังหญิง เช่น การออกแบบและทำงานหัตถกรรม (บาติก โครเชต์ ออริกามิ ดอกไม้จากดินน้ำมัน) ศิลปะบำบัด (การใช้ดินสอสี สีน้ำ สีอะครีลิค) การทำเทียนหอม ยาหม่องและน้ำมันไพล สวนถาด ปลูกต้นไม้ในขวด หรือกิจกรรมที่มีส่วนช่วยพัฒนาสุขภาพผู้ต้องขังแบบองค์รวมคือ การฝึกโยคะ ที่ช่วยให้ผู้ฝึกมีสมาธิ มีความอดทนมุ่งมั่น และตระหนักในพลังของตนเอง เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองขึ้น โดยการติดตามผู้เข้าร่วมกิจกรรมโยคะของโครงการเมื่อพ้นโทษออกไปประมาณ 50 คน พบว่ามีผู้กระทำผิดซ้ำ 3 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 6 เท่านั้น


เมื่อไม่ว่าใครก็ต้องการโอกาส ผู้ต้องขังก็ไม่ต่างกัน โจทย์ใหญ่วันนี้ จึงอยู่ที่ว่า ใครจะมาช่วยเปิดประตูบานนี้เพื่อให้พวกเขากลับคืนสู่สังคมอย่างเต็มภาคภูมิ


ยาใจในเรือนจำ thaihealth


ความรักของ 'แข'


"แม่ไม่รักหนู" นี่เป็นความเชื่อที่ แข (นามสมมติ) ฝังหัวตัวเองมาตลอด


สภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมตัวเธอไม่ต่างจากเด็กบ้านแตกทั่วไป แขอยู่กับแม่ที่วันๆ ไม่รู้ว่าเอาแรงด่าเธอมาจากที่ไหน ทำอะไรก็ผิดไปหมด ชั่วโมงที่หันหน้าไปทางไหนก็พบแต่ความหดหู่ "เพื่อน" และ "ยา" จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของเธอในวันนั้น


จนมาได้สติอีกทีก็วันที่เจ้าหน้าที่พังประตูห้องเข้ามาควบคุมตัว นั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าเวลาของเธอหมดแล้ว 7 เดือนหลังกำแพงลวดหนาม ที่อยู่ในระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ก็มีแต่แม่เท่านั้นแหละ ที่เธอเห็นหน้าบ่อยที่สุด


"หนูรู้แล้วว่าแม่รักหนูขนาดไหน" แขยิ้มพลางปาดน้ำตา


ที่นี่ นอกจากตารางชีวิตประจำวันทั่วไป เธอเลือกการถักตุ๊กตาไหมพรมเป็นจุดหมายของการใช้ชีวิต ด้วยความชอบศิลปะเป็นทุนเดิม และคิดว่า นี่จะเป็นช่องทางการหาเลี้ยงชีพต่อไปในอนาคต ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาแบบไหนก็ตาม


แขบอกว่าส่วนที่ยากที่สุดก็คือ การประกอบรอยต่อ และเก็บงานบนตัวตุ๊กตาให้เรียบร้อยที่สุด ที่เหลือก็แล้วแต่การฝึกฝน และความตั้งใจ  เหมือนกับตุ๊กตาตัวโปรดของเธอที่กำลังอยู่ระหว่างการรังสรรค์อย่างสุดฝีมือม …เพื่อเอาไปฝากแม่ วันที่ได้กลับบ้าน


ยาใจในเรือนจำ thaihealth


ขอโอกาสให้คนคุกอย่างเราเถอะ


"ขอแค่โอกาสเท่านั้นแหละค่ะ" ไม่ว่าจะ บ๋อม (นามสมมติ) หรือ แพรว (นามสมมติ) ต่างก็ยืนยันแบบนี้


คนหนึ่งจะติดคุกในคดีฉ้อโกง ส่วนอีกคนคดียาเสพติด แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในเรือนจำแล้ว "คนคุก" ก็คือสถานะที่ถูกใส่มาให้พวกเธอจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม


ทั้งคู่ต่างยอมรับว่า ขึ้นชื่อว่า "เรือนจำ" หรือ "คุก" ไม่ว่าใครก็ไม่อยากกรายกล้ำทั้งนั้น ยิ่งกับสิ่งที่ได้เห็นในหนังเกี่ยวกับนักโทษหญิงเมื่อหลายปีก่อน เมื่อรู้ตัวว่าต้องติดคุกมันจึงเป็นความหวาดกลัวที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับความเครียดกองเบ้อเร่อ


"แดนแปดเหมือนกับในหนังเลย" ใครบางคนเล่าติดตลก


กว่าจะทำใจได้ก็ปาเข้าไป 2-3 เดือน เมื่อเริ่มคุ้นชินกับชีวิตประจำวันในแดนหญิง สิ่งที่ต้องคิดต่อก็คือ จะทำอย่างไรให้แต่ละวันหมดไปอย่างมีความหมาย กิจกรรมการจัดสวนในขวด หรือการจัดสวนในกระถาง สำหรับบ๋อม ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เผื่อเอาไว้ใช้กับธุรกิจร้านอาหารที่บ้าน ขณะที่แพรวมองเป็นอีกช่องทางการทำกินที่จะติดตัวออกไปหลังจากพ้นโทษ


กำลังใจในการอยู่จนพ้นโทษก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หลังจากพ้นรั้วเรือนจำออกไปแล้ว สายตาคนรอบตัว หรือคนรู้จักจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน


ปากก็บอกว่า ไม่กลัว และไม่แคร์สายตาคนข้างนอกหรอก แต่บ๋อมก็ยอมรับโดยดีว่า การเปิดใจ หรือการให้โอกาสก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน


แน่ล่ะ ถ้าเลือกได้…"ไม่มีใครอยากเข้ามาใช้ชีวิตในนี้หรอกค่ะ" สองนักโทษชั้นเยี่ยมคนเดิมต่างช่วยกันยืนยัน

Shares:
QR Code :
QR Code