“ยาเหลือใช้” ภัยเงียบสุขภาพคนไทย
พบมีเหลือถึง 300-400%
“อโรคยา ปรมาลาภา”การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐฉันใด การถูกโรคร้ายคุกคามก็คือทุกข์ของชีวิตฉันนั้นเมื่อเร็วๆนี้ สภาเภสัชกรรม ร่วมกับ เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูป ถัมภ์ สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) และสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย)จัดงานงานเสวนาเรือง “ยาเหลือใช้ ปัญหาซ่อนเร้นของระบบสุขภาพไทย” มีประเด็นที่น่าสนใจคือคนไทยมีค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่ละปีรัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณด้านยาเป็นจำนวนมหาศาล
ภญ.รศ.ธิดา นิงสานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม บอกว่าจากข้อมูลในปี 2538-2546 พบว่าภาครัฐมีค่าใช้จ่ายด้านยาประมาณ 1 ใน 3 ของรายจ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด และเพิ่มขึ้นทุกปี จนในปี 2548 คิดเป็นเกือบ 50% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด ที่มีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาทเธอ บอกว่า “ปัญหายาเหลือใช้” หรือ “การครอบครองยาเกินความจำเป็น” ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาสูงขึ้น มีข้อมูลจากการที่เภสัชกรในโครงการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เข้าเยี่ยมบ้านผู้ป่วยโรคเรื้อรังจำนวน 700 คน ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุง เทพฯ และปริมณฑลทั้งหมด 54 ชุมชน พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งต้องใช้ยาหลายขนานร่วมกันในการรักษาโรคนั้น มียาเหลือใช้ในบ้านสูงถึง 3-4 เท่าของยาที่ควรมี หรือประมาณ 300-400%
สาเหตุสำคัญที่ผู้ป่วยหลายคนมียาเหลือใช้มากมายเพียงนี้คือ ผู้ป่วยไม่รับประทานยาตามแพทย์สั่งสูงถึง 90% และใน จำนวน 90% ที่ไม่รับประทานยาตามแพทย์สั่งนั้น 25% รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ ส่วนอีก 65% ผู้ป่วยไม่ยอมรับประทานยาเลย จึงทำให้เกิดปัญหาด้านการใช้ยาและยาเหลือใช้ตามบ้าน อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ จากผลการรักษาที่ไม่ได้ตามเป้าหมาย และภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นที่ตามมาได้”สาเหตุหนึ่งของยาเหลือใช้ เป็นเพราะมีการใช้ยาหลายขนานร่วมกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นยาต่างประเทศที่มีราคาแพง การจ่ายยาครั้งละหลายๆ เดือน จากการที่เภสัชกรได้ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยโรค เรื้อรัง และจากการที่ให้ผู้ป่วยนำยากลับมาเมื่อมาพบแพทย์ทุกครั้ง รวมทั้งจากการศึกษาวิจัย พบว่ามียาเหลือใช้ในครัวเรือนจำนวนมาก””สาเหตุเพราะผู้ป่วยซื้อยามาเก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่หมดเพราะอาการหายไปแล้ว หรือจากการที่แพทย์เปลี่ยนการรักษามาใช้ยาตัวใหม่ ยาเดิมไม่ใช้แล้วแต่ผู้ป่วยยังมียาเหลือจำนวนมาก หรือบางครั้งผู้ป่วยปรับลดขนาดยาที่ใช้เอง หรือผู้ป่วยเสียชีวิต หรือจากการที่ผู้ป่วยใช้ยาไม่ถูกต้องหรือมีความเชื่อผิดๆ
ซึ่งปัญหายาเหลือใช้ในครัวเรือน เป็นปัญหาซ่อนเร้นของระบบสุขภาพไทย ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้ป่วย หากมีการนำยาเหลือใช้ไปให้ผู้อื่นใช้ต่อ เพราะคนอื่นอาจแพ้ยาตัวนั้นเกิดปัญหาตามมาอีก” ภญ.รศ.ธิดากล่าวและเพื่อให้การแก้ปัญหา “ยาเหลือใช้” เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ภายในงาน “สัปดาห์เภสัช” ครั้งที่ 11 ซึ่งจะจัดขึ้นตามโรงพยาบาล จังหวัด โรงพยาบาลชุมชน สาธารณสุขจังหวัด ฯ กว่า 200 แห่ง ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่26 มิ.ย.-2 ก.ค. 2553 สภาเภสัชกรรม และองค์กรวิชาชีพทางเภสัชกรรม จะ จัดกิจกรรมรณรงค์ลดยาเหลือใช้ในครัวเรือนภายใต้คำขวัญ “รอบรู้เรื่องยา ปรึกษาเภสัชฯ ลดยาเหลือใช้ปลอดภัยปลอดโรค”
โดยจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนสำรวจยาเหลือใช้ในบ้าน และวิธีการจัดการที่ถูกต้องภญ.รศ.ธิดา อธิบายเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้จะมีการรณรงค์ให้เกิดกิจกรรมที่เภสัชกรสถาน พยาบาลและร้านยาดำเนินการติดตามการใช้ยาของผู้ป่วย และส่งเสริมให้ผู้ป่วยใช้ยาให้ถูกต้อง ด้วยการให้คำปรึกษา ค้นหาปัญหาเรื่องการใช้ยาของผู้ป่วย รวมทั้งการตรวจสอบยาที่ผู้ป่วยนำมาเมื่อมารับบริการแต่ละครั้งนอกจากนี้ยังรณรงค์ให้ประชาชนอ่านฉลากยาให้ละเอียดก่อนใช้ยาแต่ละครั้ง เน้นให้ถามวิธีการใช้ยาที่ถูกต้องจากเภสัชกรทุกครั้ง โดยเฉพาะยาที่มีเทคนิคพิเศษในการใช้ เช่น ยาพ่นบรรเทาหรือป้องกันการจับหืด เป็นต้น”กิจกรรมดังกล่าวอยากให้ทำต่อเนื่องตลอดไปเพื่อสร้างทัศนคติที่ถูกต้อง เพิ่มความร่วมมือในการใช้ยาอย่างปลอดภัย และเพื่อลดปัญหายาเหลือใช้จากการใช้ยาไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของสังคมไทย” เธอว่าภญ.รศ.ธิดา ยังแนะนำวิธี ลดยาเหลือใช้ในบ้านดังนี้-อ่านฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนใช้ยา ควรอ่านให้เข้าใจว่าใช้อย่างไร ต้องใช้ต่อเนื่องจนยาหมดหรือไม่ หรือ ใช้นานเท่าใด ยาบางชนิด เช่นยาปฏิชีวนะ ต้องกินติดต่อกันจนหมด เพื่อให้ได้ผลในการรักษา หรือยาหยอด ตา เมื่อเปิดใช้แล้วเกิน 1 เดือน ให้ทิ้งไป เป็นต้น
ถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก จะช่วยลดยาเหลือใช้-นำยาที่เหลืออยู่ไปพบแพทย์ตามนัด หากท่านมีโรคประจำตัวหรือโรคที่ต้องใช้ยาต่อเนื่อง และต้องไปพบแพทย์ตามนัด อย่าลืมนำยาที่เหลืออยู่ไปด้วย ทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ทราบถึงจำนวนยาที่เหลืออยู่ และสั่งจ่ายยา ตามจำนวนที่หักยาเดิมให้พอถึงวันนัดครั้งต่อไปแทนที่จะสั่งยาให้ตามจำนวนวัน ซึ่งทำให้มียาเดิมเหลือค้างอยู่จำนวนหนึ่ง หากแพทย์มีการเปลี่ยนยาให้ใหม่ และท่านใช้ร่วมไปกับยาเดิม จะทำให้ได้รับยามากเกินไป จนอาจเป็นอันตราย แต่ถ้าท่านไม่ใช้ ยาเดิมนั้นก็จะเป็นยาเหลือใช้-ไม่ควรซื้อยาบรรเทาอาการคราวละมากๆ ยาบรรเทาอาการ เช่น ลดไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้หวัด หลังจากหายแล้วถ้าเหลืออยู่ จะกลายเป็นยาเหลือใช้สิ่งที่ไม่ควรทำ-อย่านำยาเหลือใช้ไปให้คนอื่นใช้ ขณะเดียวกันก็อย่ากินยาที่คนอื่นให้มา เพราะอาการคล้ายกันแต่อาจไม่ใช่โรคเดียวกัน ขนาดยาก็อาจไม่เหมาะสม และอาจเกิดอาการแพ้ยาได้อีกด้วย-อย่านำยาเหลือใช้มารวมในซองยา หรือขวดยาเดียวกัน-อย่าแกะยาออกจากแผงหากยังไม่ใช้-อย่าเก็บยาในตู้เย็น ยกเว้นยาที่มีฉลากระบุไว้-อย่าเก็บยาในรถที่จอดทิ้งไว้เพราะความร้อนจะทำให้ยาเสื่อม-อย่าหยุดยาเอง เพราะแพทย์จะเข้าใจผิดว่า อาการที่เลวลงเป็นเพราะโรค แล้วเพิ่มยาให้อีก-อย่าซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาเภสัชกร เพราะถ้าได้รับยาจำนวนมากจากสถานพยาบาลแล้วอาจได้รับยาซ้ำซ้อน”ยาเหลือใช้” เรื่องเล็กๆ ที่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆอีกต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
update:22-06-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่