“มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล” เปิดโพลล์รับวาเลนไทน์ เผยชายไทย 82.4% ไม่นิยมความรุนแรง
“มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล” เปิดโพลล์รับวาเลนไทน์ เผยชายไทย 82.4 % ไม่นิยมความรุนแรง รู้ผิดกฎหมาย อึ้ง! 1 ใน 3 เชื่อรักกันจริงต้องยอมมีเซ็กซ์ และรักต้องครอบครอง พร้อมแนะ10 เทคนิคเปลี่ยนความคิดพิชิตความรุนแรงในความรัก
วันนี้ (10 ก.พ.2555) ที่โรงแรมเอเชีย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมจัดเสวนา “บทเรียนชีวิต…เมื่อความรุนแรงซ่อน แฝงในความรัก” เนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์ จากนั้นได้เดินขบวนรณรงค์ แจกสื่อสติ๊กเกอร์เพื่อเรียกร้องให้ผู้ชาย ยึดมั่นในความรักที่ไร้ความรุนแรง โดยมีกลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษา กว่า 100 คน ร่วมเดินรณรงค์ผ่านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร รอบสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ และหน้าห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดเผยว่า ทางมูลนิธิฯได้รวบรวมข้อมูลผลสำรวจ “ทัศนคติผู้ชายกับความรุนแรงที่ซ่อนแฝงในความรัก” ระหว่างวันที่ 1-10 ม.ค.2555 ในกลุ่มตัวอย่างเพศชาย อายุ 12-35 ปีจำนวน 1,000 ราย สำรวจใน 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร เชียงใหม่ ลำพูน อำนาจเจริญ สุรินทร์ ชุมพร แบ่งเป็นสถานภาพโสด 56.8% , มีแฟนแล้วแต่ยังไม่ได้สมรส 24.7% , แต่งงานแล้ว 15.6% และหย่าร้าง 2.9% พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า กลุ่มตัวอย่าง 43.3% ระบุว่าผู้ชายมีสิทธิหึงหวง ไม่ให้แฟนหรือภรรยาออกนอกบ้านหรือคุยกับผู้อื่น และอีก 31% ระบุว่า “ผมมีคนอื่นได้ แต่คุณห้ามมีคนอื่น” นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่าง 36.1% ยังเชื่อว่าผู้หญิงต้องแสดงออกถึงความรักด้วยการยอมมีเพศสัมพันธ์ ในขณะที่ 23.5% มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะแสดงความรักด้วยการยอมมีเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์
ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยยังมีผู้ชายอีก 21.3% เชื่อว่าลูกผู้ชายตัวจริงต้องดื่มเหล้าเคล้านารี ทั้งนี้ 36.5% มองว่า การดื่มในวันวาเลนไทน์กระตุ้นให้มีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจครั้งนี้ยังมีมิติด้านดีอยู่ที่พบว่าผู้ชายถึง 82.4% ไม่นิยมความรุนแรง มองว่าการทำร้ายร่างกายคนที่รักเป็นสิ่งไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย แสดงว่าผลสำรวจครั้งนี้ ผู้ชายมีทัศนคติเรื่องเพศและความรุนแรงไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่คงต้องเร่งทำความเข้าใจกับผู้ชายกลุ่มที่มองว่า ความรักต้องหึงหวง ต้องครอบครองเป็นเจ้าของ เพราะทั้งสองเรื่องถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะบ่มเพาะนำไปสู่ความรุนแรงได้ในที่สุด
ทั้งนี้ นายจะเด็จ ได้แนะนำ 10 วิธี ปรับเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ ค่านิยม เพื่อให้เกิดความรักที่ให้เกียรติกัน สามารถทำได้ ดังนี้ 1.ตั้งสติ เมื่อมีความโกรธหรือหึงหวง 2.ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพราะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา 3.พูดคุยสร้างความเข้าใจ หากมีเรื่องค้างคาใจควรคุยกันอย่างเปิดใจ 4.สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน 5.เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน 6.นึกถึงใจเขาใจเรา 7.รักเดียวใจเดียว ไม่เอาเปรียบ 8.ไม่ใช้ของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดเป็นทางออก 9.สร้างกติกาการอยู่ร่วมกัน และ 10.เมื่อถึงที่สุดแล้วหากไม่สามารถประคองความรักคู่กันได้ ต้องคิดว่าไม่ใช่คู่เราและต้องจากกันด้วยดี
นายพรณรง ปั้นทอง อายุ 46 ปี แกนนำผู้ชายต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ ลด ละ เลิกเหล้า : ลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กบ้านคำกลาง จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า ตนเริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่ช่วงอายุ 15 ปีและเริ่มดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆจากหน้าที่การงานที่เป็นถึงระดับหัวหน้า มีรายได้เพิ่มมากขึ้น 500-1,000 บาทต่อวัน มีรถประจำตำแหน่ง ส่วนใหญ่จึงเป็นการดื่มเหล้าเคล้านารีกับเพื่อนร่วมงานตามร้านอาหาร ชอบแสดงความเก่งกล้า เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ร้อนและชอบใช้ความรุนแรง แม้จะแต่งงานมีลูก 2 คนแล้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้งพฤติกรรมเดิมคือรักสนุก ไม่มีความรับผิดชอบ มีผู้หญิงในเวลาเดียวกันถึง 3 คน เคยมีผู้หญิงตบตีกันเพราะแย่งตนเอง แต่กลับมองว่าเป็นเรื่องสนุกมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งต้องตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ ไม่มีเงินใช้จ่าย เริ่มมีปัญหาสุขภาพ เพราะผลจากการดื่มเหล้าหนัก จึงตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน ส่วนการที่ได้มาเป็นแกนนำผู้ชายต้นแบบฯนั้น เพราะได้เห็นตัวอย่างของกำนันที่หมู่บ้านมาทำงานช่วยเหลือผู้หญิงที่เดือดร้อน ทำให้ตนคิดถึงสิ่งที่เคยทำไม่ดีกับผู้หญิงหลายคนเพื่อจะไถ่บาปที่ตนได้เคยทำกับผู้หญิงไว้ จึงตัดสินใจเลิกดื่มเหล้าจนสำเร็จ ทุกวันนี้ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองและใช้ประสบการณ์ชีวิตที่เคยพลาดเป็นอุทาหรณ์ให้คนรุ่นต่อไป
ขณะที่นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก เล่าว่า ตนใช้ชีวิตคู่ตั้งแต่อายุ 14 ปี โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนอารมณ์รุนแรง หวาดระแวงหงุดหงิดโมโหง่าย และชอบทำร้ายแฟนเป็นประจำบางครั้งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็ชกต่อยตบตีในที่สาธารณะ เพียงเพราะระแวงว่าแฟนจะนอกใจไปมีผู้ชายคนอื่น ตอนนั้นคิดว่าเรามีคนอื่นได้ แต่แฟนห้ามมีเพราะเป็นผู้หญิงจึงไม่สมควร และเมื่อเราทำร้ายเขาบ่อยครั้งบวกกับความไม่เข้าใจกัน จนทำให้ต้องเลิกรากันไป กระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์พลิกผลันตนต้องโทษในคดียาเสพติดและต้องมาใช้ชีวิตในศูนย์แห่งนี้
“หากย้อนเวลากลับไปได้ คงจะไม่ทำตัวแบบนี้ จะเคารพสิทธิของผู้หญิง รักดูแลให้เกียรติเขา เพราะที่ผ่านมาเขารักผมและยอมผมมาตลอด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นทำให้ผมได้รับบทเรียน ว่าความรุนแรงมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร ถ้าผมยังเป็นเหมือนเดิมชีวิตนี้ก็จะไม่เหลือใคร การได้มาอยู่ที่บ้านกาญจนาภิเษกทำให้ผมเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม ซึ่งแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง”นายเอ กล่าว
ที่มา : มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล