มะกันสั่งห้ามนักบินใช้ยาเลิกบุหรี่
เผยมีอันตรายต่อความปลอดภัยทางอากาศ วิทยุการบินก็ห้ามด้วย
หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์สฉบับออนไลน์รายงานว่าสำนักงานการบินของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาหรือ เอฟเอเอได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้นักบินและผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศที่ใช้ยาซึ่งใช้สำหรับการเลิกบุหรี่ชื่อ แชนทิกซ์ (chantix) ให้เลิกใช้โดยเด็ดขาดโดยอ้างถึงผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นและเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยทางอากาศ
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ได้ออกคำแนะนำเกี่ยวกับยาตัวนี้โดยระบุว่าผู้ใช้ยาแชนทิกซ์บางคนมีอาการทางจิตที่รุนแรงหลายอาการจนถึงขั้นทำให้บางคนถึงกับพยายามฆ่าตัวตาย
ต่อเรื่องนี้โฆษกหญิงของเอฟเอเอกล่าวว่าสำนักงานอาหารและยาได้ให้การรับรองให้ผู้ใช้ที่เป็นนักบินและเจ้าหน้าที่วิทยุการบินสามารถใช้ยาตัวนี้ได้เมื่อปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เอฟดีเอกำลังดำเนินการแจ้งอย่างเป็นทางการไปยังนักบินจำนวน 150 คน และเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศจำนวน 30 ที่มีประวัติการใช้ยานี้ให้เลิกใช้เสีย
คุณบราวน์กล่าวด้วยว่าการตัดสินใจสั่งให้นักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางกาศหยุดใช้ยาตัวนี้เป็นการตัดสินใจที่ทำบนพื้นฐานของข้อมูลใหม่เกี่ยวกับยาตัวนี้ ซึ่งหนึ่งในข้อมูลเหล่านั้นคือรายงานจากกลุ่มเฝ้าติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยากลุ่มหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สถาบันเพื่อความปลอดภัยด้านเวชปฏิบัติ
รายงานฉบับดังกล่าวนี้ได้เชื่อมโยงยาชานทิกซ์กับปัญหาสุขภาพของผู้ใช้หลายอย่าง อันได้แก่ การอุบัติเหตุประเภทต่างๆ หกล้ม หัวใจเต้นเร็วผิดปกติซึ่งอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต หัวใจวาย หมดสติ เบาหวาน และอาการทางจิตอีกหลายอย่าง
นอกจากนี้รายงานฉบับนี้ยังระบุอีกด้วยว่าตั้งแต่ปีค.ศ.2006 ถึง 2007 มีการรายงานกรณีการพยามยามฆ่าตัวตายทั้งสิ้น 277 ราย กรณีมีอาการทางจิตเวชอีก 397 ราย อีก 525 รายมีอาการก้าวร้าวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีกรณีคิดฆ่าผู้อื่นอีก 60 ราย และอีก 55 ราย มีอาการหลงผิดซึ่งเป็นอาการของโรคทางจิต
ตัวเลขการรายงานเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างแรงเกี่ยวกับกับความเสี่ยงในการรักษาด้วย verenicline ซึ่งเป็นสารเคมีสำคัญในยาแชนทิกซ์ ที่เคยถูกมองข้ามมาก่อนหน้านี้ และในปีนี้กลุ่มติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่งได้เรียกร้องให้เอฟดีเอเพิ่มระดับคำเตือนเกี่ยวกับผลข้างเคียงอันตรายของยาเลิกบุหรี่ตัวนี้เป็นระดับสูงสุด
สำหรับยาแชนทิกซ์นั้นผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์และได้รับการรับรองให้ผลิตเพื่อจำหน่ายในสหรัฐฯและสหภาพยุโรปได้ในปีค.ศ.2006 ส่วนประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกนั้นได้เริ่มจำหน่ายมาเมื่อปีที่แล้วและมีมูลค่าการขายจำนวนประมาณ 883 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปีเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันคาดกันว่ามีคนจำนวนมากถึง 6.5 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้ยาตัวนี้อยู่
ที่มา : สำนักข่าวต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
update 26-05-51