มหันตภัยครีมหน้าเด้ง เสี่ยงเละ..ก่อนสวย

อย.เตือนอันตรายจากสารปรอทในเครื่องสำอาง

 มหันตภัยครีมหน้าเด้ง เสี่ยงเละ..ก่อนสวย

          หลังจากที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  (อย.)  ได้ประกาศรายชื่อเครื่องสำอางที่ผสมสารห้ามใช้ทั้ง  3  ชนิด  ได้แก่  สารประกอบของปรอท, สารไฮโดรควินิน และกรดเรทิโนอิก  (กรดวิตามินเอ)

 

          หลังจากที่ระดมกำลังทำลายล้างโกดังเครื่องสำอางต้องห้ามที่ผิดกฎหมายไปเรียบร้อยแล้ว  ล่าสุด  อย.พบผลิตภัณฑ์เสริมความงามหลากหลายรูปแบบที่มาในรูปของสมุนไพร  ไม่ว่าจะเป็นแชมพู  ครีมนวดผม  โฟมล้างหน้า  ซึ่งในระยะหลังๆ  มักออกมาในรูปแบบครีมหน้าเด้ง  ครีมบัวหิมะ  หรือแม้กระทั่งครีมกระชับทรวงอก  ที่ผู้ประกอบการบางแห่งหัวใส  ใช้รูปแบบการจดทะเบียนเป็นสินค้าโอท็อป  (otop) หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือการแอบอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติแท้ๆ 100% เพื่อให้ผู้บริโภคตายใจว่า เมื่อซื้อสินค้าดังกล่าวไปแล้วจะปลอดภัยและสวยถาวร แต่ในความเป็นจริง ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายคนที่ใช้ตราผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อปมาบังหน้าเพื่อเป็นช่องทางในการทำมาหากิน

 

          เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา  ทางโรงพยาบาลศิริราชได้จัดงานสัปดาห์เภสัชกรรม  ครั้งที่  9  ขึ้น  โดยภายในงานได้มีการบรรยายพิเศษถึงเรื่อง  “อันตรายจากเครื่องสำอาง”  ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญจากกองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภค  สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  (อย.)  เภสัชกรหญิงพรพรรณ  สุนทรธรรม  มาให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้เครื่องสำอางอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก  และขยายความเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟังอีกด้วย

 

          ภญ.พรพรรณ  สุนทรธรรม  กล่าวว่า  “ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า  สินค้าโอท็อปในประเทศไทยที่ดีๆ  ยังมีอยู่เยอะ  แต่ในบางรายทางเราก็กำลังตามเรื่องอยู่  เพราะเคยมีผู้ร้องเรียนมากับทาง  อย.หลายคน  ว่าได้รับอันตรายจากการใช้เครื่องสำอางที่ขึ้นทะเบียนว่าเป็นสินค้าโอท็อปมาแล้ว   การจะจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ใดสักชิ้นเพื่อให้ขึ้นเป็นสินค้าโอท็อป  จะต้องผ่านการตรวจสอบดูแลจากกรมส่งเสริมการส่งออก  ไปตรวจสอบยังแหล่งผลิตและแพ็กเกจจิ้ง  แต่เรื่องคุณภาพของเนื้อสินค้าเขาก็ไม่ได้ลงไปดูลึก  ซึ่งตรงนั้นก็เป็นหน้าที่ของทาง  อย. ซึ่งทาง  อย.ก็มีศูนย์ประสานงานสุขภาพชุมชนที่ลงไปช่วยดูแลตรงนี้อยู่แล้ว  ซึ่งสินค้าโอท็อปที่เป็นสกินแคร์หรือน้ำยาซักล้างต่างๆ  จะมีข้อจำกัดอยู่  2  อย่าง  คือ  1.บุคลากรยังขาดความรู้ความเข้าใจที่มากพอ   2.กรรมวิธีการผลิต  ที่บางแห่งจะยังไม่สะอาดเท่าที่ควร   ภาชนะหม้อหุงต้มที่ยังไม่ได้มาตรฐาน   ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของศูนย์ประสานงานฯ  ที่ต้องเข้าไปให้ความรู้กับแม่บ้านยังชุมชนต่างๆ  ให้มากขึ้น”

 

          เภสัชกรหญิงกล่าวต่อว่า “การที่จะเข้าไปถึงในทุกๆ  ตัวผลิตภัณฑ์มันไม่ใช่เรื่องง่าย   ตอนนี้ต้องยอมรับเลยว่าเราตามกระแสสื่อไม่ไหว  ทั้งจากโทรทัศน์  วิทยุ  โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตที่ประโคมข่าวโฆษณาเครื่องสำอางพวกนี้เกินจริง  เรากำลังดำเนินเรื่องกับทางเว็บไซต์เหล่านี้อยู่  แต่คงต้องใช้เวลา  เพราะมันยังต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรมให้เข้ามาดูแลเรื่องนี้ด้วย”  ผู้เชี่ยวชาญฝากถึงผู้บริโภคว่า  อยากให้ผู้บริโภครู้เท่าทันสื่อให้มากกว่านี้   หากสินค้าตัวใดที่โฆษณาอวดโอ้เกินความเป็นจริง  ก็ไม่อยากให้หลงเชื่อ  ไตร่ตรองดูสักนิด  ตัวไหนที่บอกว่าใช้แล้วจะขาวใสภายใน  7  วัน  ก็ขอให้รู้เอาไว้เลยว่ามันจะต้องมีส่วนผสมของสารต้องห้ามที่ทาง  อย.กำหนดเอาไว้แน่นอน”

 

          ภญ.พรพรรณยังได้แนะเทคนิคการทดสอบความปลอดภัยจากเครื่องสำอางที่มีลักษณะเป็นเนื้อครีมด้วยตนเองง่ายๆ  ว่า  หากอยากตรวจสอบเครื่องสำอางที่เราซื้อมาว่าปลอดภัยจริงหรือไม่  ให้ลองนำเนื้อครีมเหลวมาป้ายลงบนกระดาษทิชชูสีขาว   จากนั้นให้นำผงซักฟอกที่ละลายน้ำแล้ว  หยดลงไปบนกระดาษทิชชูที่มีเนื้อครีมนั้นอยู่   ลองสังเกตสีของเนื้อครีม  หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล  แสดงว่าเครื่องสำอางชิ้นนั้นเป็นอันตรายอย่างแน่นอน

 

          หากใครที่ยังลังเลใจอยู่  ว่าเครื่องสำอางที่อยู่ในมือนั้นจะปลอดภัยจริง  100%  อย่างที่ในโฆษณาเขาบอกหรือไม่  ก็สามารถโทร.สายด่วนมาตรวจสอบได้ที่  0-2590-7277-8  เพื่อที่จะได้ไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของผู้ประกอบการไร้จริยธรรมที่มุ่งหวังแต่ผลกำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

update : 03-07-51

 

Shares:
QR Code :
QR Code