พัฒนาคุณภาพวัยทำงาน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ภาพประกอบจาก สสส.


พัฒนาคุณภาพวัยทำงาน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง thaihealth


สังคมรุ่นใหม่ที่ผู้คนมักใช้เวลาไปกับการทางานจนละเลยสุขภาพ "โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์" ไปจนถึงการกินให้ครบมื้อในแต่ละวันที่กลายเป็นเรื่องยาก "พฤติกรรมการ" ละเลยเล็กๆ "น้อยๆ" ที่สะสมในแต่ละวันจึงส่งผลให้เกิด"ปัญหาสุขภาพ""ตามมา"และอาจส่งผลต่อองค์กรในอนาคตเช่นกัน


สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "โครงการสมอ.องค์กรแห่งความสุข" มุ่งลดโรค พัฒนาสังคมโต๊ะทำงานคนภาครัฐให้เอื้อสุขภาพ ชูโมเดล "Happy Workplace" หลังพบเป็นโรคอ่วม กินไม่ถูกหลักโภชนาการ หวังลดค่ารักษาพยาบาล ไม่ตายก่อนวัยอันควร


นายธนะ อัลภาชน์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 2 รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากผลการสำรวจคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากร สมอ. เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา พบว่า สุขภาพทางกายของข้าราชการและบุคลากร สมอ. ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 60.8) มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในช่วงภาวะน้ำหนักเกิน และยังพบอีกว่าบุคลากรของสมอ.มีโรคประจำตัวอยู่เกือบ 1 ใน 3 (ร้อยละ 30.1) โรคประจำตัวที่พบส่วนใหญ่ คือ ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง รองลงมา ได้แก่ เบาหวาน โรคหัวใจ และภูมิแพ้


ส่วนพฤติกรรมการบริโภค พบว่า มากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 53.5) บริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ผัด ทอด ใส่กะทิ เบเกอรี่ เกือบเป็นประจำ โดยมีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น ที่มีพฤติกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมใช้เวลาแต่ละครั้งมากกว่า 30 นาที ขึ้นไปเป็นประจำ


พัฒนาคุณภาพวัยทำงาน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง thaihealth


สมอ.ตระหนักถึงความสาคัญของการมีสุขภาวะที่ดีของบุคลากร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จของหน่วยงานตามภารกิจ จึงร่วมกับ "สสส." และสถาบันวิจัยสังคม "จุฬาฯ" จัดทำ "โครงการ สมอ. องค์กรแห่งความสุข" เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตการทางาน กำหนดเป้าหมายการดำเนินโครงการในระยะแรก"ที่สามารถดำเนินการได้เลยทันทีในสถานที่ทำงาน คือ


1.การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ ผ่านการส่งเสริมการออกกำลังกาย แบบง่ายๆ ในพื้นที่ทำงานด้วยท่าออกกำลังกายต่างๆ ที่ถูกต้อง และเสริมด้วยการมีชมรมกีฬาที่จัดตั้งขึ้นแล้ว ได้แก่ ชมรมแอโรบิก โยคะ แบดมินตัน เทเบิลเทนนิส ซึ่งมีสมาชิกรวมกันมากกว่า 200 คน และจะขยายชมรมเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกคนในหน่วยงาน


2.การดูแลอาหารว่างสุขภาพในการจัดประชุม ซึ่งจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคและสะดวกในการ เตรียมอาหารด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นการสร้างความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ ของข้าราชการและบุคลากร ในการรองรับการปฏิรูปประเทศไปสู่การเป็นประเทศ ไทย 4.0 ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติในขณะนี้


ด้าน นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. กล่าวว่า สสส. โดยแผนสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรริเริ่มแนวคิดองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) มาตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นำแนวคิด Happy Workplace จัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรหรือไปเป็นนโยบายขององค์กร เพื่อพัฒนาสุขภาวะของบุคลากรที่เป็นทั้งข้าราชการและพนักงาน ลูกจ้างประจำและอื่นๆ ครอบคลุมในด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ สุขภาวะทางสังคม


พัฒนาคุณภาพวัยทำงาน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง thaihealth


"การให้ทักษะการจัดการด้านการเงิน กว่า 10,000 แห่ง โดยเป็นการสร้างความตระหนักและเสริมความรู้ให้ความสำคัญ เรื่องสุขภาวะเชิงป้องกันเพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น เช่น ความเครียด อุบัติเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับงาน โรคที่เกิดจากการทำงาน โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่มีสาเหตุจากปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ อาทิ บริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ เช่น อาหารหวาน มัน เค็ม การออกกำลังกายไม่เพียงพอ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากรในภาครัฐให้ดีขึ้น" นพ.ชาญวิทย์ กล่าว


ขณะที่ "ดร.ศิริเชษฐ์ สังขะมาน" อาจารย์ประจาสถาบันวิจัยสังคม "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" กล่าวว่า "จากผลการศึกษาสถานการณ์และแนวโน้มคุณภาพชีวิตการทางานของบุคลากรภาครัฐระยะเวลา 3 ปี ด้วยแบบสำรวจองค์กรสุขภาวะ" (CU-QWL) ตั้งแต่ปี 2558-2560 พบว่า บุคลากรภาครัฐมีแนวโน้มเกี่ยวกับปัญหาด้านภาวะโภชนาการเกินกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะการมีภาวะเสี่ยงต่อโรคมีอยู่เกือบร้อยละ 10


รวมทั้งมีพฤติกรรมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเพิ่มขึ้นด้วย จากร้อยละ 40.6 ในปี 2558 เป็น 54.8 ในปี 2560 ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบปัญหาความเครียดที่เกิดจากการทำงาน พบว่ากลุ่มผู้ที่มีความเครียดบ่อยถึงเป็นประจำ มีถึงร้อยละ 20 ซึ่งสอดคล้องการมีโรคประจำตัว เกิดจากการทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คือ โรคไมเกรน ความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 38-53 ปี


ยิ่งไปกว่านั้นยังพบอีกว่าการมีเวลาทำกิจกรรมส่วนตัวในระดับน้อยถึงน้อยที่สุด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.5 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 21.6 ในปี 2560 ดังนั้น สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงพร้อมทำงานกับ สสส. และ สมอ. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้เกิดคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรอย่างเหมาะสมในแต่ละส่วนงาน

Shares:
QR Code :
QR Code