พลิกความสูญเสียเป็นพลัง ‘ป้องกันภัยพิบัติ’

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


"ภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิในปี พ.ศ. 2547 เป็นจุดเริ่มต้นของหลากหลายเรื่องราว ซึ่ง "บ้านน้ำเค็ม" เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผล กระทบมากที่สุด และได้นำประสบการณ์ของตนเองมาแปรเปลี่ยนเป็นการเรียนรู้ ลงมือทำ สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส จากผู้ประสบภัยกลายเป็นต้นแบบของศูนย์เรียนรู้ ด้านการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทั่วประเทศ และต่างประเทศกว่า 30 ประเทศ"


พลิกความสูญเสียเป็นพลัง 'ป้องกันภัยพิบัติ' thaihealth


แฟ้มภาพ


ดร. สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในกิจกรรมลงพื้นที่ โครงการ "นับเราด้วยคน" ตอน เรียนรู้ และเตรียมพร้อม สถานีที่ 8 บ้านน้ำเค็ม จากชุมชนแทบล่มสลาย สู่การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่เข้มแข็ง ว่าภัยพิบัติเป็นสิ่งหนึ่งที่กระทบต่อสุขภาวะ หลังจากการเกิดเหตุการณ์สึนามิเป็นแรงกระตุ้นให้หลายหน่วยงานตื่นตัวโดย สสส.มองว่าการจัดการภัยพิบัติจะยั่งยืนได้อยู่ที่ "ชุมชน" โดยเฉพาะ ชุมชนบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา เป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิจำนวนมาก แต่สามารถพลิกฟื้นด้วยการรวมตัวกันของชุมชน เกิดการบริหารจัดการตนเองจนสามารถเป็นพื้นที่ต้นแบบได้


นอกเหนือจากการให้ทุนสนับสนุนแล้วนั้น สสส.ยังเข้าไปหนุนเสริมเชื่อมโยงให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันจากหลายพื้นที่ที่ได้ รับผลกระทบจากภัยพิบัติทั่วประเทศ มีการประสานงานกับองค์กรต่าง ๆ แล้วนำมาสร้างมาตรการในการจัดการภัยพิบัติให้สอดคล้องกับวิถีในพื้นที่ของตนเอง จนสามารถรับมือกับภัยพิบัติ และภาวะวิกฤติ นำไปสู่การฟื้นฟูอย่างเป็นระบบได้


ความท้าทายในการทำงานเรื่องภัยพิบัติของไทย คือ การที่สังคมไทยไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีภัยพิบัติบ่อยครั้ง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ขาดความสนใจ ละเลยที่จะเตรียมพร้อมป้องกัน และมีการจัดการที่ดี ดังนั้น แผนที่ดีสามารถสร้างขึ้นได้ แต่หากขาดความตื่นตัวในการลงมือทำก็จะไม่ทำให้เกิดความยั่งยืน "บ้านน้ำเค็ม"เป็นหนึ่งในต้นแบบการจัดการที่ดี ที่คาดว่าจะสร้างความตื่นตัวให้คนไทยเข้าใจ และตระหนักถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียอย่างในอดีตได้" ดร.สุปรีดา กล่าว


ด้าน ประยูร จงไกรจักร์ รองประธานศูนย์เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติบ้านน้ำเค็ม เล่าว่า จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ หมู่บ้านน้ำเค็ม มีบ้านเรือนกว่า 1,000 หลังที่ได้รับความเสียหาย ประชาชนมากกว่า 1,400 คนที่เสียชีวิต จากความสูญเสียได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังโดยคนในชุมชนเริ่มรวมตัว โดย ศูนย์เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติบ้านน้ำเค็ม ถูกจัดตั้งขึ้นให้เป็นที่รวบรวมข้อมูล รวมถึงเป็นพื้นที่สั่งการให้พี่น้องในชุมชนรับทราบหากมีการเตือนภัยเรื่องสึนามิ โดยที่นี่จะมีคณะกรรมการทั้งฝ่ายอำนวยการและปฏิบัติการ หากมีข้อมูลการแจ้งเตือนเรื่องแผ่นดินไหวจะมีการรวมตัวกันประชุมที่ศูนย์นี้แล้วประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมความพร้อม โดยจะไม่รอให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้านทุกคนในชุมชน หากประเมินแล้วมีความเสี่ยงสูงฝ่ายปฏิบัติงานจะลงพื้นที่เพื่อแจ้งให้ชาวบ้านอพยพทันที โดยติดเครื่งสัญญาณเตือนภัยชนิดมือหมุนที่มี 4 เครื่อง ให้ชาวบ้านเตรียมความพร้อมในการอพยพ สำหรับจุดอพยพในบ้านน้ำเค็มนั้นจะมีอยู่ 2 จุด คือโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม และวัดน้ำเค็ม โดยในชุมชนจะมีป้ายบอกเส้นทางหนีภัยเพื่อความรวดเร็วในการอพยพ


ประยูร เล่าต่อว่า ในการอพยพจะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที โดยทุก ๆ ปีจะมีการซ้อมอพยพ 2 ครั้ง นอกจากการทำงานในพื้นที่ให้เข้มแข็ง ทางศูนย์ฯ ยังมองเห็นความสำคัญเรื่องภัยพิบัติในพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทำให้เกิดการนำอาสาสมัครไปช่วยเหลือรวมถึงแลกเปลี่ยนความรู้ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันยังได้นำประสบการณ์บ้านน้ำเค็มในการทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ ไปเผยแพร่ทั้งในและต่างประเทศ ในนามตัวแทนประเทศไทย เช่น ในเวทีอาเซียน เวทีภัยพิบัติโลก และกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยที่ทำต่อเนื่องทุกปี


"ทุกครั้งที่มีสัญญาณเตือนอพยพชาวบ้านล้วนให้ความร่วมมือเต็มที่ โดยมีชาวบ้านคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเราไม่วิ่งตอนนี้ เราอาจจะไม่มีโอกาสได้วิ่งอีกต่อไปก็ได้" ประยูรทิ้งประโยคไว้ให้คิด


บ้านน้ำเค็มเอาความเสูญเสียแปรเปลี่ยนเป็นพลัง เพราะรู้ดีว่าถ้ามัวจะเฝ้าอาวรณ์เท่ากับต้องเสียเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไปข้างหน้าไปอีกหนึ่งสเต็ป…ขอทุกคนเริ่มต้นปีใหม่ด้วยหัวใจที่มีพลัง

Shares:
QR Code :
QR Code