พระสงฆ์วอนชาวพุทธจุดธูปน้อยลง
เผยผลวิจัยส่งผลสะเทือนต่อพิธีกรรมชาวพุทธ
ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติเชื่อควันธูปเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ด้านพระสงฆ์ประสานเสียงวอนชาวพุทธจุดธูปน้อยลง วัดมังกรกมลาวาสขอให้ญาติโยมใช้จิตสักการะพระพุทธเจ้าทดแทนการจุดธูป ติงบางคนจุดธูปเต็มกำมือเหมือนถือคบเพลิง แต่เข้าไปห้ามกลับถูกตำหนิ พระพยอมแนะชาวพุทธปรับตัวให้ทันโลก
หลังจาก นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ร่วมกับ ดร.พนิดา นวสัมฤทธิ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เปิดเผยผลการวิจัยว่า ควันธูปเป็นอันตรายต่อสุขภาพและมีสารก่อมะเร็งเทียบเท่าบุหรี่ หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากอาจจะทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ พร้อมกับรณรงค์ให้จุดธูปไหว้พระแล้วรีบดับทันทีเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน ซึ่งนับว่าเป็นผลวิจัยที่ส่งผลสะเทือนต่อพิธีกรรมของชาวพุทธนั้น
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม นายแพทย์ธีรวุฒิ คูหะเปมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า ทุกวันนี้ผู้หญิงที่ไม่ได้สูบบุหรี่พบว่าเป็นโรคมะเร็งปอดกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่มีผลต่อการเกิดโรคมะเร็ง เช่น ในประเทศจีนพบว่าคนที่เป็นโรคมะเร็งได้สัมผัสสารก่อมะเร็งจากการสูดดมควันที่เกิดจากน้ำมันใช้ทำอาหาร ส่วนควันธูปก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะมีมลพิษอันเกิดจากการเผาไหม้ ดังนั้นเมื่อมีผลวิจัยออกมาว่าควันธูปมีสารก่อมะเร็ง เราก็ควรหลีกเลี่ยงการสูดดม
“การพิสูจน์ว่าควันธูปเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคมะเร็งหรือไม่ จะต้องมีการศึกษาทางด้านระบาดวิทยาคือ สำรวจข้อมูลในเชิงสถิติว่า จำนวนคนทำงานในวัดจะเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนทำงานนอกวัดมากน้อยแค่ไหน จึงจะตอบได้ชัดเจน ทั้งนี้ จะต้องติดตามผลการวิจัยในระยะยาวต่อไป” ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติกล่าว
พระครูวินัยธร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) วัดชื่อดังย่านเยาวราชที่มีพุทธศาสนิกชนเข้าไปทำบุญกันเป็นจำนวนมาก กล่าวว่า พระสงฆ์ สามเณรและเจ้าหน้าที่ภายในวัดต่างประสบปัญหากับควันธูปเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากมีญาติโยมจุดธูปในปริมาณมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นวันพระและวันสำคัญทางพุทธศาสนา ก็จะมีควันธูปและควันที่เผาไหม้กระดาษเงินกระดาษทองมากมายมหาศาล แม้ว่าจะว่าติดป้ายประชาสัมพันธ์ว่าขอให้จุดธูปแต่พอดี แต่ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง หลายคนจุดธูปเต็มกำมือเหมือนเดินถือคบเพลิง พระเณรสำลักควันแสบตากันถ้วนหน้า หากเข้าไปห้ามปรามก็จะถูกตำหนิกลับมา
พระครูวินัยธรกล่าวว่า ต้องพยายามป้องกันตัวเองจากควันธูปด้วยการใช้ผ้าปิดจมูกและดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยชะล้างมลพิษที่เข้าไปในร่างกาย อีกทั้งยังจัดพนักงานยืนประจำกระถางธูป เมื่อญาติโยมไหว้พระแล้วปักธูป ก็จะเก็บขึ้นมาแล้วจุ่มน้ำให้ควันดับในทันที นอกจากนี้เจ้าอาวาสยังมีนโยบายปลูกต้นไม้ภายในวัดให้มีบรรยากาศร่มรื่นและดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากควันธูปเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
“ขอแจ้งไปถึงชาวพุทธทุกคนว่าให้ช่วยกันจุดธูปแต่พอสมควร ไม่ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ที่จริงแล้วการกราบไหว้สักการะพระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นอามิสบูชา แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ปฏิบัติบูชาด้วยการทำความดี และการทำจิตใจให้สงบเพื่อระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ต้องจุดธูปก็ได้” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาสกล่าว
ด้านพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว บอกว่า ทางวัดไม่อนุญาตให้จุดธูปมานาน 9 ปีแล้ว เพราะรู้ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพและก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เมื่อมีการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ๆ ว่าควันธูปมีสารก่อมะเร็ง ชาวพุทธควรรีบปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก อะไรที่ก่อให้เกิดโทษก็ต้องยกเลิก อย่าไปฝ่าฝืนหรือดันทุรัง
“อาตมาขอแนะนำว่าให้ใช้ธูปไฟฟ้าทดแทนธูปที่มีควัน หรือหากจำเป็นต้องคงมีอยู่ ก็ต้องจัดสถานที่ระบายอากาศถ่ายเทสะดวก เช่น พัดลมดูดอากาศไม่ให้ควันฟุ้งกระจาย” พระพยอมกล่าว
ขณะที่ พระครูพิทักษ์ พุทธวิหาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า หลังติดตามข่าวควันธูปที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ทางวัดนอกจากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มากราบนมัสการพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต ให้จุดธูปน้อยลง แม้เป็นเรื่องห้ามไม่ได้ เพราะประชาชนที่มาไหว้พระส่วนใหญ่ต้องจุดธูป แต่การแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่ของวัดดูแลตลอดเวลา หากเห็นว่าควันเริ่มหนาแน่นจะนำธูปดังกล่าวไปจุ่มลงไปถังน้ำที่เตรียมไว้เพื่อให้ธูปดับ นอกจากนี้ทางวัดยังติดพัดลมดูดอากาศขนาดใหญ่ 2 ตัว เพื่อลดปัญหาควันลงระดับหนึ่ง
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
update: 31-07-51